เห็นตำรวจยืนมาดเท่ห์คอยดูแลความเรียบร้อย เดินต่อแถวไปตามถนน มีผู้คนมากมายเดินทางเพื่อมาดูเทนนิส แถวยาวเหยียดไม่ต่ำกว่า 3กม.
จนต้องวกแถวเข้าไปวนอยู่ในส่วนหนึ่งของ Wimbledon Park เพื่อไม่ให้คนล้นออกมาที่ถนนมาก
เราซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมแทมมี่ ซึ่งแข่งกันที่คอร์ทด้านนอก
ราคาไม่แพงนัก จำไม่ได้ว่า15หรือ25ปอนด์ หากเป็นเซ็นเตอร์คอร์ทจะเป็นที่สำหรับมือวาง หรือนักเทนนิสที่มีชื่อเสียง ราคาจะแพงมาก
หลายคนต้องกางเต็นท์นอนในละแวกนั้นเพื่อแย่งชิงที่ในเซ็นเตอร์คอร์ทวันรุ่งขึ้น
เมื่อแทมมี่ลงแข่งทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นต่างเชียร์นักกีฬาของตนอย่างสนุก กองเชียร์ญี่ปุ่นดูจะซีเรียสและตั้งใจเชียร์อย่างจริงจัง
ส่วนกองเชียร์ไทยก็เชียร์กันอย่างสนุกสนาน เซ็ตแรกเราแพ้ เซ็ตที่สองแทมมี่ทำท่าจะพลิกมาชนะ แต่ไอสุกิยามา ทุ่มเทสู้อย่างสุดตัว
สุดท้ายหนูแทมของเราเลยแพ้ไปทั้งสองเซ็ต..น่าเสียดาย
ผมว่าฝีมือเค้าไม่ได้เหนือกว่าเราเท่าไรนัก.......
เราเดินหงอยๆผ่านกองเชียร์ญี่ปุ่นที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข ไปดูรอบๆสนาม ดูคอร์ทอื่นๆแข่ง
ตั๋วสำหรับคอร์ทนอกสามารถดูได้ทุกคอร์ทที่อยู่ด้านนอก
เมื่อไม่รู้จะดูอะไรต่อ เลยแยกกับน้องๆไปเที่ยวที่อื่นต่อไป.....
ที่ผมตั้งใจไปดูเทนนิส ไทยแลนด์ โอเพ่น ก็เพราะหากจะดูนักเทนนิสระดับโลกที่ต่างประเทศนั้น ต้องกางเต็นท์นอนรอคิว
หรือไม่ก็ต้องต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะได้ดู แต่ที่เมืองไทย นักเทนนิสดังๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแข่งให้เราดูถึงบ้าน ราคาก็ไม่แพง
แถมจองบัตรก็สะดวกสบาย เลยอยากชวนน้าๆที่มีเวลาว่างไปดูด้วยกันนะครับ
และขอแสดงความยินดีกับคุณภราดรที่สามารถคว้ามิสยูนิเวอร์สมาเป็นสะใภ้คนไทยได้สำเร็จ ทำให้หนุ่มๆฝรั่งตาน้ำข้าวนั่งมองตาปริบๆ
ไม่งั้นมิสยูนิเวอร์สคนอื่นๆ เสร็จฝรั่งหมด(ยกเว้นป้าอาภัสรา)
อีกนานสักเท่าใดจึงจะมีคนไทยได้เข้าไปเล่นในเซ็นเตอร์คอร์ทของรายการเทนนิสแกรนสแลม
และเป็นคนไทยที่สามารถชนะญี่ปุ่น เกาหลี จีน แม้กระทั่งฝรั่งชาติต่างๆได้
ถึงฟอร์มจะตกลงไปบ้างแต่ผมก็เป็นกำลังใจให้ คนไทยทำสิ่งใดไม่แพ้ชาติใดในโลก ต่อไปนะครับ
ภราดรทำได้....เฟดเดอเรอร์ทำไม่ได้ จริงไหมจ๊ะ น้องนาตาลี....
ผมก็ว่าหน้าคุ้นๆนะครับพี่นิมิต!!!
body = Caucasoid
face = Mongoloid
กุ้ยหลิน.....แสนสวย
กุ้ยหลิน เมืองที่ครั้งหนึ่งเป็นอาณาเขตของชนเผ่าเวียต อยู่เขตปกครองพิเศษชาวจ้วง มลฑลกวางสี
ใกล้กับมลฑลกุ้ยหยาง ผมจองทัวร์ไปกุ้ยหลินช่วงสงกรานต์
...เมื่อถึงกุ้ยหลินตอนค่ำๆ เจอสาวจีนคนหนึ่งน่ารักดี ปรากฏว่าเธอคือไกด์ของคณะเรา.......กระชุ่มกระชวย
"หนูชื่อน้องฟ้า" เธอแนะนำตัว กะทาชายทั้งหนุ่มมากและหนุ่มน้อยต่างลืมคู่ของตัวกันหมด
ต่างคนต่างทำเนียน เข้าใกล้ชิดเธอ "หนูเรียนภาษาไทยที่วิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง" เธอเล่าด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่นแต่น่ารัก
เราไปดูโชว์ที่กำกับโดย จางอวี้โหม่ว โชว์ที่จีนในหลายๆที่ ส่วนใหญ่ก็กำกับโดยผู้กำกับชื่อดังคนนี้
กลับถึงโรงแรม ผมชวนแฟนไปเดินเล่นตามเคย เป็นถนนคนเดิน มีร้านขายของอยู่สองข้างทาง
ทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนม ของที่ระลึกต่างๆ เมื่อซื้อของสักพัก เราก็หาร้านนั่งดื่ม อากาศเย็นพอดีๆ น่าจะประมาณ26'c
รุ่งเช้าก็ไปเขางวงช้าง เห็นนกกาน้ำ เมื่อก่อนคนที่นี่จะใช้นกชนิดนี้จับปลา โดยจะผูกเชือกที่คอนก
แล้วปล่อยให้มันลงไปจับปลา เมื่อนกกลืนปลา ปลาจะไปติดตรงคอที่ผูกเชือก คนก็จะดึงปลาออกมา..นกอดกิน
แล้วก็ไปล่องแม่น้ำหลีเจียงซึ่งสวยงามมาก เรานั่งกินข้าวกลางวันในเรือ น้องฟ้านั่งโต๊ะเดียวกับเรา
"มีไกด์คนไทยบอก คนไทยเชื่อว่าอยากพูดภาษาไทยให้ชัดๆ ต้องกินน้ำลายคนไทยเหรอคะ" เธอถามแฟนผม
แฟนผมหัวเราะ ส่วนผม อยากจะช่วยเธอให้พูดภาษาไทยชัดๆจริงๆ...พับผ่า!
เรื่องล่องแม่น้ำหลีเจียง จะขอเล่าเต็มๆหากมีโอกาสครับ
แล้วเราก็ไปเที่ยวถ้ำขลุ่ยอ้อ ถ้าสังเกตดีๆถ้ำที่นี่เค้าเจาะให้แต่ละคูหาเชื่อมถึงกัน เพื่อจะได้เดินไปทางเดียวไม่ต้องเดินย้อนกลับ
นักท่องเที่ยวจำนวนมากก็ไม่แออัดเท่าไร เพราะเดินทางเดียว สถานที่ท่องเที่ยวในจีนส่วนใหญ่จะถูกดัดแปลง
ตกแต่งให้รองรับประชากรอันมหาศาลของเขา แต่ก็ทำได้ดีดูไม่ขัดตาเท่าไรนัก
รุ่งขึ้นไปเที่ยวเมืองลับแล และถ้ำเงิน ตกเย็นเดินทางไปชมสันหลังมังกร
ระหว่างทางสบโอกาสผมเลยขอถ่ายรูปกับน้องฟ้า รูปนี้ทำให้แฟนผมงอนตุ๊บป่อง ต้องง้ออยู่นาน
เรื่องสันหลังมังกรและเมืองกุ้ยหยางไว้เล่าคราวหน้านะครับ...บ๊ายบาย