NimitGuitar webboard

Full Version: ไป..ไปให้ไกลสุดฟ้ากว้าง...
You're currently viewing a stripped down version of our content. View the full version with proper formatting.
Pages: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25
(28-01-2010, 14:10)Maew Wrote: [ -> ]รูปสีสดดีจริง
ไม่มีเรื่องเล่าประกอบเลยเหรอ

ขอบคุณครับน้า ไว้วันหลังจะเล่าเรื่องให้ฟังครับBig Grin
รูปชุดนี้สนุกที่สีสันจริงๆ ค่ะ
(10-03-2010, 09:21)myakira Wrote: [ -> ]รูปชุดนี้สนุกที่สีสันจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณจ้าBig Grin
(26-01-2010, 17:52)dejemerry Wrote: [ -> ]เนื้อหาของเพลงเศร้าโดนใจวัยโจ๋สุด ๆ

คนเรา ยิ่งอายุมาก ยิ่งเหงา ยิ่งวังเวงเนอะ
ชีวิตไม่สิ้น ก็ไม่อยากจะดิ้นต่อไปแล้ว
อยากใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับครอบครัว
ก็เท่านั้น ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดแล้ว ในชีวิตนี้
แต่จริง ๆแล้ว มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยนะเนี่ย


เฮ้อ... สงสัยจะเข้าวัยทอง ถึงได้ปลงซะขนาดนี้ เหอ เหอ

Dear Dej,
I have to disagree with you, I don't think the older we get the more lonely we will be, just quite contrary to what you think. I think we all are the only best friend we ever had.
And we don't really have to struggle to live if we only live as peaceful with our family just like you said.
I absolutely agree with you that the best way in life is "No more of those none-essential material stuffs". If you can do without them then your family life will be so peaceful and calm just like I'm having it right now

I'm old enough to say that I've been there and done that and I'm one of those lucky and happy old menBig Grin

And it's never too late to do it now Dej, good luck.

And thank to Karn, I've never heard that song before! I didn't even know that it's the title of your post. I loved the lyric and tempo and it's quite uplifted my traveling spirit too.
(27-01-2010, 17:54)karn Wrote: [ -> ]เอาภาพจากฮอยอันมาฝากครับพี่แดงBig Grin

ฮอยอัน เมืองท่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีต...
เป็นชุมชนของพ่อค้าชาวจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลันดา เมื่อกว่าสามร้อยปีที่ผ่านมา
จวบเมื่อธรรมชาติเล่นตลก แม่น้ำทูโบนกลับตื้นเขิน เมืองดานังเข้ามาแทนที่ความสำคัญ
เมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้ จึงค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน....

ชอบภาพชุดนี้ทุกภาพเลยค่ะ...ดูแล้วสงบและน่าอยู่
อยากไปจัง...
(20-03-2010, 23:23)napman Wrote: [ -> ]And thank to Karn, I've never heard that song before! I didn't even know that it's the title of your post. I loved the lyric and tempo and it's quite uplifted my traveling spirit too.

traveling spirit ของผมมาจาก บทเพลง ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพยนต์ และหนังสือครับ
ผมไม่รู้ว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นเช่นไร
อย่างน้อยขณะมีลมหายใจอยู่ ผมก็แค่อยากจะไปในที่ๆอยากไปครับ
ผมเชื่อว่าพี่ nap คิดคล้ายๆกันกับผมSmile



(21-03-2010, 05:43)sukanyastory Wrote: [ -> ]ชอบภาพชุดนี้ทุกภาพเลยค่ะ...ดูแล้วสงบและน่าอยู่
อยากไปจัง...

ขอบคุณครับป้า ลองชวนน้าเด่นไปสิครับ โรแมนติกมากๆครับBig Grin
(20-03-2010, 23:23)napman Wrote: [ -> ]
(26-01-2010, 17:52)dejemerry Wrote: [ -> ]เนื้อหาของเพลงเศร้าโดนใจวัยโจ๋สุด ๆ

คนเรา ยิ่งอายุมาก ยิ่งเหงา ยิ่งวังเวงเนอะ
ชีวิตไม่สิ้น ก็ไม่อยากจะดิ้นต่อไปแล้ว
อยากใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับครอบครัว
ก็เท่านั้น ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดแล้ว ในชีวิตนี้
แต่จริง ๆแล้ว มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยนะเนี่ย


เฮ้อ... สงสัยจะเข้าวัยทอง ถึงได้ปลงซะขนาดนี้ เหอ เหอ

Dear Dej,
I have to disagree with you, I don't think the older we get the more lonely we will be, just quite contrary to what you think. I think we all are the only best friend we ever had.
And we don't really have to struggle to live if we only live as peaceful with our family just like you said.
I absolutely agree with you that the best way in life is "No more of those none-essential material stuffs". If you can do without them then your family life will be so peaceful and calm just like I'm having it right now

I'm old enough to say that I've been there and done that and I'm one of those lucky and happy old menBig Grin

And it's never too late to do it now Dej, good luck.

And thank to Karn, I've never heard that song before! I didn't even know that it's the title of your post. I loved the lyric and tempo and it's quite uplifted my traveling spirit too.


ขอบพระคุณน้าแน็ปนะคะ สำหรับคำแนะนำที่ดี ๆ จริง ๆ แล้วก็บ่น ๆไปงั้นค่ะ อิอิ
บางครั้งรู้สึกท้อ รู้สึกเหงาบ้าง เป็นบางครา มันคงเป็นส่วนประกอบของชีวิตคนเรา
มีทั้งสุข และทุกข์ปนกันไป เป็นธรรมดา และเราไม่สามารถ ผจญจิต ผู้อื่นได้หรือกำหนด
ได้ว่า ควรเดินไปในทางใด อย่างเก่งก็ได้แต่ทำใจ และรู้เท่าทันจิตของตัวเองค่ะ
และทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ Big Grin
น้าkarnใช้ชีวิตคุ้มค่าดีครับผมอยากไปเที่ยวเเบบน้าkarnบ้างเเต่คงยากครับเพราะภาระหน้าที่บีบบังคับอยู่Rolleyes
(25-03-2010, 13:19)kosit Wrote: [ -> ]น้าkarnใช้ชีวิตคุ้มค่าดีครับผมอยากไปเที่ยวเเบบน้าkarnบ้างเเต่คงยากครับเพราะภาระหน้าที่บีบบังคับอยู่Rolleyes

ผมยังมีภาระไม่มากเลยรีบไปก่อนน่ะครับน้าบี ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมกระทู้นี้ครับBig Grin
(05-04-2009, 16:54)karn Wrote: [ -> ]"สุขสบายดี๋" เริ่มต้นทักทายน้าๆด้วยคำทักทายของชาวไทลื้อกันนะครับ
วันนี้จะเล่าเรื่อง "ตะกรุด" ที่ผมไปพบเห็นมาที่สิบสองปันนาครับ
ที่พระราชวัง "เวียงผาคราง" ทำไมต้อง คราง! อืมมมมมมมห์...
พระราชวังนี้สร้างโดย พญาเจือง หรือ สมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่งที่1
(ผมว่าน่าจะเรียกว่า เจ้าหอคำเชียงรุ่งที่ 1 ก็พอ เพราะในยุคนั้นคนไทยังไม่ค่อยได้รับอิทธิพลจากเขมร
สมเด็จ เป็นคำเขมร ไทยเราได้รับอิทธิพลจากเขมรอย่างชัดเจนก็ยุคกรุงศรีอยุธยานี่เอง)
พญาเจือง สร้างวังนี้ริมน้ำของ(แม่น้ำโขง,แม่น้ำล้านช้าง) ริมผาตรงโค้งน้ำ น้ำจะเซาะหินบริเวณนี้ตลอดเวลา
เกิดเป็นเสียงน้ำครวญคราง เลยตั้งชื่อวังว่า เวียงผาครางครับ
ในสมัย เจ้าหม่อมคำลือ (เจ้าหอคำเชียงรุ่งที่ 41) กษัตริย์องค์สุดท้ายของชาวไทลื้อ
พวก เรดการ์ด ได้ทุบทำลายวังนี้ จากการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของพรรคคอมนิสต์แห่งประเทศจีน
ตามนโยบายของ เหมาเจ๋อตุง ปัจจุบันจึงเหลือแต่ซาก

[Image: dsc0524m.jpg]

ผมไปถึงสิบสองปันนาช่วงน้ำน้อยครับ มองจากเวียงผาครางจะเห็นเมือง เชียงรุ่ง อยู่ไกลๆ
ผมเข้าไปเดินดูในพิพิธภัณฑ์ของชาวไทลื้อซึ่งอยู่ในเขต เวียงผาคราง
ไปเจอเสื้อตัวนึงน่าสนใจ เขาบอกว่า เสื้อตัวนี้ใส่แล้วฟันไม่เข้า เป็นเชือกถักเป็นเสื้อ หุ้มด้วยแผ่นโลหะ
ผมนึกถึง "ตะกรุด" ของบ้านเรา

[Image: dsc047.jpg]
[Image: dsc04.jpg]

เสื้อตัวนี้ก็เหมือนเอาตะกรุดหลายๆดอกมาร้อยเข้าด้วยกันเป็นเสื้อเกราะ
ฟันไม่เข้าแน่นอน!! (ถ้าผลิตดาบด้วยเทคโนโลยีการถลุงเหล็กในสมัยนั้นนะ)
เมื่อคนไทบางส่วนอพยพลงมา ก็ได้นำภูมิปัญญาติดมาด้วย เมื่อภาษาและวัฒนธรรมของผู้มาอยู่ใหม่
ผสมกลมกลืนกับชนพื้นเมืองเดิมในดินแดนสุวรรณภูมิ นานเข้าก็ลืม จากหลายดอกเลยเหลือดอกเดียว
อาจเคยได้ยินปู่ของปู่ของปู่ของปู่เล่าให้ฟังว่า ตะกรุดฟันไม่เข้า ตะกรุดเลยลดรูปจากเสื้อเกราะกลายเป็นเครื่องรางไป
ส่วนตะกรุดที่ทำจากปลอกลูกปืนนั้น แน่นอนว่าเพิ่งมาทำกันในชั้นหลัง (ก็สมัยก่อนยังไม่มีลูกปืนนี่นา)
โดยยึดคติที่ว่า ตะกรุดฟันไม่เข้า (ถ้าแทงนี่ไม่รับประกัน) กลายเป็นตะกรุดหยุดลูกปืนในที่สุด

พ่อผมมีตะกรุดเก็บไว้หลายดอกครับ และผมก็นับถือ แต่เล่าสู่กันฟังถึงตะกรุดในอีกแง่มุมหนึ่งครับ
น้าชายผมเวลาไปออกรบก็คาดตะกรุดไปรบ แคล้วคลาดกลับมาปลอดภัยทุกครั้ง...

ท้ายนี้ผมเอาเพลง สิบสองปันนา มาฝาก คนขับ(ร้อง)ชื่ออีอ่อนน้อย มีชื่อเสียงมากครับ เคยไปขับมาแล้วหลายประเทศ
ทั้งที่ญี่ปุ่น เมืองลาว พม่า เมืองไทย เขาพูดภาษาเขา แต่เราฟังรู้เรื่อง เป็นสิ่งยืนยันถึงวัฒนธรรมและภาษาอันมีที่มาร่วมกัน...
จบแล้วครับ ขอกล่าวลาด้วยคำไทลื้อ ... อยู่ดีกินหวานเน้อBig Grin


สวัสดีค่ะ คุณกาน (กานท์ กานต์ กาญจน์ กาล ฯลฯ)

รูปแม่น้ำโขงและเมืองเชียงรุ่งไกลๆ สวยมาก (ความจริงก็สวยทุกภาพทุกทริป) ถ้าอยากขออนุญาตนำไปใช้อ้างอิงทางวิชาการ เช่น ลงประกอบในหนังสือ โดยบอกที่มาของภาพไว้ คุณกานจะกรุณาเอื้อเฟื้อไหมคะ
ป้าไปแอ่วเมืองลื้อสิบสองพันนาสองสามครั้ง ไม่เคยถ่ายได้รูปสวยๆเลย คงเป็นเพราะกล้องปัญญาอ่อนและคนถ่ายไม่เอาไหน
อ่านเรื่องเล่า ดูรูปสวยๆของคุณกานแล้วเบิกบานสดชื่นดีมากค่ะ

เรณู
ครูเฒ่า
Pages: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25