NimitGuitar webboard

Full Version: เด็ก 6 ขวบ 9 เดือน.. กับการตัดสินใจครั้งสำคัญของผู้ใหญ่
You're currently viewing a stripped down version of our content. View the full version with proper formatting.
Pages: 1 2 3
ผมไม่ได้เขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมานานแล้ว
วันนี้.. หลังจากที่ได้นำเพลงส่วนหนึ่งขึ้นในเวบ และได้ปรับปรุงบทความบางส่วน
ระหว่างที่ผมกำลังนั่งทำงาน.. ผมแวบถึงคำพูดที่ผมได้คุยกับลูกสาว

..ช่วงนี้ผมมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจอยู่สองอย่าง..

เรื่องแรกก็คือ ผมอาจจะต้องเบนเข็มชีวิตเพื่อไปทำงานอีกประเภทหนึ่ง
ซึ่งมีค่าตอบแทนที่ดีมาก.. แต่ก็แลกด้วยเวลาทุกอย่างที่ผมมี

เรื่องที่สองก็คือ ..หรือว่าผมต้องเลือกที่จะอยู่อย่างลำบากลงพอสมควรมากทีเดียว
แต่ก็ยังได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว และยังคงได้ทำงานที่ผมรัก..

.........................................

เหตุผลที่ผมต้องตัดสินใจในเรื่องเหล่านี้.. ก็คงไม่พ้นในเรื่องทั่วไปของภาวะทางเศรษฐกิจที่มันกระทันหัน
และก็ล่วงเลยมาเป็นระยะเวลาพอสมควร..

ในระหว่างที่ผมกำลังชั่งใจ.. และได้ทดลองทำงานใหม่..
กับตำแหน่งใหม่ที่มีแต่การกำหนดแผนงาน และสั่งงาน..
ซึ่งต้องถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก
วันๆ ที่มีแต่ประชุมและพบคู่ค้า ..และในหลายครั้งผมเองก็ไม่สามารถกำหนดระยะเวลาในการทำงานได้
จากการคลาดเคลื่อนของตัวงาน..

ทุกครั้งที่ลูกสาวโทรมาหาผม.. เขาจะถามว่า "พ่ออยู่ไหน"
ผมก็จะตอบว่า "พ่อติดประชุม" หรือไม่ก็ "กำลังคุยอยู่กับลูกค้า"

เขาก็จะถามตอบว่า.. "แล้วพ่อจะกลับบ้านกี่โมง" ..ผมตอบลูกไม่ได้..

บางครั้งมีงานด่วน.. ผมก็ต้องกลับดึก.. หรือค้างในที่ทำงาน หรืออาจต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด
เขาก็จะถามว่า.. "ทำไมพ่อไม่กลับบ้าน.. แล้วหนูจะนอนกอดใคร.."

มันเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอของผม..

.....................................................

ชีวิตของผม.. ผมกำหนดอะไรได้บ้าง
อนาคต.. การเงิน.. ปากท้อง.. มันต้องแลกด้วยอะไรบ้างหรือ..

ผมคิดว่าผมกำลังจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูก.. ให้ภรรยา..
เพราะนี่ก็คือโอกาสที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของผม.. ซึ่งเข้ามาในช่วงที่ผมกำลังมีภาระอยู่ในหลายเรื่องเหลือเกิน
แต่มันใช่จริงๆ หรือเปล่า..!!

........................................................

วันนึงผมถามลูกสาวของผมว่า..

"..ถ้าพ่อต้องตื่นแต่เช้า กลับบ้านดึกอย่างนี้ทุกวัน
หรืออาจไม่ได้นอนอยู่กับหนู.. หรืออาจต้องผิดนัดกับหนูบ้างบางครั้ง..
เพราะพ่อต้องไปทำงาน..

แต่ว่าสิ่งที่พ่อทำนี้.. จะทำให้หนูได้ของเล่น ได้ไปกินขนมอร่อยๆ
ได้ไปเที่ยวในที่ที่หนูชอบ.. ในที่ที่หนูอยากไป.."

ลูกสาวผมไม่รอให้ผมพูดจบ.. แต่เขาถามผมด้วยประโยคเดียวว่า..

"แล้วหนูจะไปกับใคร.. ถ้าพ่อกลับดึก.. หนูจะนอนกอดใคร.. ถ้าพ่อไม่กลับบ้าน.."

..........................................................

เด็กอายุ 6 ขวบ 9 เดือน.. กำลังจะขึ้น ป.1
กำลังสอนผมว่า.. ผมลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า

"..หนูไม่ไปเที่ยวก็ได้.. ไม่ซื้อของเล่นก็ได้.. ไม่กินขนมก็ได้..
แต่พ่อต้องอยู่กับหนูนะ.. พ่อต้องนอนกอดหนูทุกวัน.."

แล้วเขาก็กอดผม..

...........................................................

ตอนนี้ผมมีคำตอบแล้ว.. บางครั้งคนเราก็ต้องเลือก
ในหลายครั้งเราอาจต้องยอมเสียบางสิ่งบางอย่างในชีวิต ที่มันอาจจะไม่ได้มีมาบ่อยๆ
หรืออาจไม่มีเลย..

เพื่อเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน

...แต่อย่างน้อยก็เอาเถอะน่า.. ทางที่ผมเลือก.. มันคงจะไม่ทำให้พวกเราพ่อแม่ลูกต้องอดตายกันหร๊อก..

...........................................................

หลายคนอาจคิดไม่เหมือนผม.. และถ้าอ่านแล้วมันทำให้หงุดหงิดใจ
ผมต้องขอโทษด้วยครับ..

ไม่รู้วันนี้ทำไมผมนอนดึกจังเลย.. สงสัยอายุกำลังจะเปลี่ยนผลัดวัยอีกแล้วมั๊ง..

โฟล์คน้อย..

..............................................






หลังจากที่ได้อ่านจบ ผมก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับน้าโฟล์คน้อย
เพราะมันจุกที่ลำคอมันแน่นและรู้สึกได้ทันทีว่านั่นเป็นความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง
รู้สึกเห็นใจและเข้าใจน้าโฟล์คน้อยเป็นอย่างมากครับ
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นเด็กคนนั้นคือลูกของเราเอง....
ผมก็รู้สึกเช่นกันเมื่อบางครั้งลูกถามว่า.."ทำไมคุณพ่อไม่มารับผม (หนู)" หรือ "ทำไมวันนี้คุณพ่อไม่กอดผม (หนู)
และบางครั้งคำพูดเพียงสั้นๆ ที่ลูกพูดให้กับเราหลังจากกลับจากที่ทำงานก็ทำให้ชื่นใจได้เช่นกัน... "ผม (หนู) รักพ่อจัง พ่อเหนื่อยไหม"

เด็ก 6 ขวบ รู้เรื่องและประติดประต่อเรื่องราวได้มากมายนัก มีความคิดเป็นเหตุเป็นผลมากเลยทีเดียวครับ
มากมายจนบางครั้งเราคาดไม่ถึง

จากที่เคยนอนดึก ก็เข้านอนพร้อมลูกเพราะต้องอ่านนิทานและเล่นกับลูกก่อนนอน
จากที่เคยทำงานตอนดึก ก็ต้องปรับเวลาใหม่ให้กับลูก เพราะห้วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้มีโอกาสได้สอน
หรืออบรม หรือเล่นกับเขา ก็คือช่วงเวลานี้ มันคือห้วงเวลาที่ดีมากๆ ที่จะสอนให้ค่อยๆซึมเข้าไปในจิตใจ

ไม่ปฏิเสธว่าเงินคือสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นกัน
ผมเคยคิดว่าถ้าหากผมทำงานมากๆ ทำงานวิจัยมากๆ ก็จะมีเงินทุนเข้ามาอย่างมากมายมหาศาล
แต่หากแลกด้วยเวลาที่ผมต้องทุ่มเทไปกับงาน ผมก็คงไม่เลือกที่จะทำเช่นนั้น

มีอาจารย์หลายท่านที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็น รองศาสตราจารย์ หรือ ศาสตราจารย์ ซึ่งมีเงินเดือนสูงมากทีเดียว
แต่ต้องแลกมาด้วยเวลา และความรู้สึกที่เสียไปของลูกน้อยมันก็ไม่คุ้มเช่นกัน บางท่านถึงขั้นลูกไม่ชอบพ่อ
หรือเกลียดเลยเพราะมัวแต่ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น เสาร์-อาทิตย์ ก็อยู่ที่ห้องทดลองเพื่อทำงานบางอย่างให้สำเร็จลุล่วง
แต่ลืมนึกถึงคนที่คอยอยู่ที่บ้าน คนที่อยากให้พ่อหรือแม่มาอยู่ใกล้ๆ
คอยจนหัวใจมันแห้งและชินอยู่กับความรู้สึกเหงาๆเช่นนั้นจนมันแทบจะไม่อยากรับความรู้สึกใดๆ อีก

เพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งตอนนี้ได้ตำแหน่งทางวิชาการเป็นรองศาสตราจารย์เรียบร้อยแล้ว แต่ที่ผ่านมาทำงานหนักมาก
จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เขานั่งทำงานอยู่และลูกชายเดินมาข้างๆ โต๊ะแล้วพูดกับเพื่อนของผมว่า
"....คุณแม่ครับเราไม่ต้องมีเงินมากก็ได้ ลาเต้ (ชื่อลูกชาย) อยากให้แม่อยู่ใกล้ๆ อยากให้แม่กอดและเล่นกับลาเต้..."
แล้วน้ำตาของความเป็นแม่ก็ไหล จนต้องลงไปนั่งคุกเข่าแล้วกอดลูกด้วยความตื้นตัน และนึกย้อนถึงเวลาที่ผ่านมา
กับคำพูดของลูกวัยเพียง 3 ขวบครึ่งที่กลั่นกรองออกมาจากสมอง จากความรู้สึก ที่บริสุทธิ์จริงๆ

ผมคิดว่าเรื่องราวที่น้าโฟล์คน้อยเล่าให้ฟังเป็นเรื่องราวที่สัมผัสได้ รู้สึกได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องแปร ไม่ต้องอธิบาย
และเป็นสิ่งที่ค่อนข้างลำบากที่น้าโฟล์คน้อยต้องเลือก และต้องสร้างความสมดุลระหว่าง งาน-ครอบครัว-ปากท้อง
ไม่ง่ายเลยที่จะตัดสินใจ

แต่ผมเชื่อว่าด้วยหัวใจความคิดที่ละเอียดที่แม้ผมไม่เคยพบหน้ากันเลยสักครั้งกับน้าโฟล์คน้อย
รับรู้ได้เพียงเสียงผ่านทางสายโทรศัพท์เมื่อได้คุยกันแม้นานๆครั้ง แต่ก็พอจินตนาการได้ว่า
ความละเมียด ละเอียดอ่อนต่อครอบครัว ต่อลูกมีมากน้อยขนาดไหน
จะทำให้เลือกทิศทางหรือตัดสินใจและสร้างความสมดุลได้อย่างลงตัวครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ
อ่านคำบรรยาย...แล้วทำให้นึกถึงเพลงนี้
สวัสดีครับน้าโฟล์คน้อย ถึงผมจะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ผมคิดว่าน้าโฟล์คน้อยคงจะเลือกความสุขที่ได้จากครอบครัว ซึ่งไม่มีสิ่งใดจะทดแทนได้ เงินซื้อทุก ๆ อย่างได้ครับ แต่ซื้อเวลาไม่ได้ครับ ถึงแม้น้าโฟล์คน้อยในอนาคตจะมีเงินเป็นระดับมหาเศรษฐี แต่ก็ไม่สามารถซื้อเวลาย้อนกลับมาได้ครับ เป็นกำลังใจให้ และมีความสุขกับครอบครับตลอดไปครับ


ผมเชื่อว่า
ในอนาคตหนูน้อยคนนี้ ต้องเติบโต.....เข้าใจ....และเข้มแข็ง....."เหมือนพ่อ"


ขอให้น้าผ่านอุปสรรคไปด้วยดีครับ Wink
อ่านแล้วรู้เลยว่า.......



แม่เค้าสอนมาดี :p


เสี้ยมมมมมม.......
ลูก...ไม่เคยขอเกิดมา
พ่อแม่นั่นแหละ....ที่กำหนดและให้ชีวิตแก่ลูก
ให้โอกาสลูกบ้างเถอะที่จะกำหนดชีวิตพ่อและแม่

ผมเลือกครอบครัวสำคัญกว่างานใดๆทั้งปวง
ผมเลือกที่จะทำางานที่อยู่ใกล้ชิดครอบครัว
แม้รายได้จะน้อยกว่างานอื่นๆที่ทำแล้วมีรายได้มากมายแต่ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว

ลูกฉลาดแล้วที่เหมือนจะบอกว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่การมีเงิน
อย่าหาเงินเพลินไปจนไม่ลืมหูลืมตา
เงินไม่ใช่พระเจ้าที่จะบันดาลอะไรได้ทุกอย่าง
นั่งวิเคราะห์ ไตร่ตรองตัวเองสักพัก ว่ามีความสามารถอะไรบ้าง
กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ทำอย่างจริงจัง อดทน ร่วมรับความสุขและทุกข์ไปด้วยกัน
อย่าไปเปรียบเทียบกับครอบครัวอื่นๆ

แรกๆจะรู้สึกอึดอัด แต่นานๆไปจะรู้ว่าเราคิดถูกแล้วที่ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่เราเลือกเอง
ยกเว้นแต่ว่า ลูกและภรรยาที่บ้าน เริ่มเอ่ยปากว่า....ไปหางานอื่นๆทำดีกว่า
ค่อยมาว่ากันใหม่......

สถาบันครอบครัวสำคัญที่สุด
ครอบครัวที่อบอุ่นไม่จำเป็นต้องอยู่บนกองเงินกองทอง

ผมคิดเช่นนั้น........
เรื่องของน้าโฟล์คน้อย ให้แง่คิดที่ดีมาก
ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตเรา คนส่วนใหญ่จะเผชิญหน้ากับทางเลือกแบบนี้
คนจำนวนมากเลือกความก้าวหน้าในการงานและการเงินแล้วทิ้งครอบครัว โดยไม่ทันได้ขบคิดด้วยซ้ำ
น้าโฟล์คน้อยโชคดีที่ลูกช่วยเตือนสติ ผมเชื่อว่าน้าโฟล์คน้อยจะเลือทางเลือกที่เหมาะสมได้
ให้กำลังใจครับ
ยินดีด้วยครับ ที่ค้นพบความสุขอย่างแท้จริงครับ
คิดกลับในมุมของลูก ผมเคยเป็นอย่างนั้นครับอายุขนาดนั้นพอดีเลย พ่อไปทำงานแต่เช้าเพราะโรงงานอยู่สมุทรปราการบ้านผมอยู่วิภาวดี คิดถึงพ่อจนต้องขอตามไปโรงงานด้วยตอนปิดเทอม ไม่งั้นไม่ได้เจอ เพราะพ่อกลับดึกมาก ไปเช้ามาก แต่ก็ผ่านชีวิตช่วงนั้นมาด้วยความเข้าใจโดยที่พ่อไม่ต้องอธิบายอะไรเลย หลังจากที่ผมตามพ่อไปโรงงาน กลับบ้านหลับบนรถตลอดทางขนาดแค่นั่งดูพ่อทำงานนะครับ มาแชร์ประสบการณ์อีกด้านนึงครับ เผื่อมีประโยชน์กับน้าโฟล์คน้อยครับ
Pages: 1 2 3