Thread Rating:
  • 1 Vote(s) - 1 Average
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
Author Message
hattaya111 Offline
Man of the Moon
******

Posts: 1,126
Likes Given: 35
Likes Received: 4 in 4 posts
Joined: 31 Mar 2009
Reputation: 54
#1
พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
...




พระอาจารย์เล่าว่า.....

ผมไปอ่านตอบกระทู้นึงในเวปนี้

http://www.watthakhanun.com/webboard/index.php



เขียนโดยพี่สาวที่นับถือของผมเอง พี่เก๋ กมลา ผู้ก๋ากั่น 5555



ลองอ่านดูครับ น่าจะเกิดประโยชน์ต่อความรู้สึกกัน จะบอกเล่าต่อ ก็ขออนุโมทนาจิตใจดีๆกันด้วยครับ



ความว่า......................



เรื่องเศร้าของแม่ลิงค่ะ

พระอาจารย์เล่าว่า.....................

................
เคยมีทหารท่านหนึ่ง ชอบเข้าป่าล่าสัตว์ แล้ววันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ จนเลิกจับปืนไปตลอดชีวิต

เรื่องมีอยู่ว่า..เขาเข้าป่าแล้วไปยิงแม่ลิงตัวหนึ่ง..เพื่อจะเอาลูกมันไปขาย .(.จำเอาไว้นะ..ลูกลิงที่เขาเอามาขายทุกตัวนี่..ต้องแลกด้วยชีวิตแม่มันถึงจะเอามาได้ )

แม่ลิงตัวตัวนั้น กอดลูกน้อยไว้แนบอกตลอดเวลา เอาตัวมันบังกระสุนปืนให้ลูก

และเมื่อถูกยิง..ร่างมันร่วงละลิ่วลงสู่พื้น มันก็ยังใช้สติสุดท้ายที่มี พลิกตัวมันลงพื้น..เอาตัวมันกระแทกพื้นแทนลูก (ฮือ..ฮือ..น่าสงสารจัง)


ที่ร้ายกว่านั้นคือ วินาทีที่เขาเข้าไปเอาลูกลิง

แม่ลิงใช้สายตาบอกเขา..มันน่าแปลกที่เขาสามารถเข้าใจถึงถ้อยคำในแววตาวิงวอนนั้นได้..

แม่ลิงบอกเขาว่า..โปรดอย่าทำอะไรลูกชั้นนะ.. แล้วแม่ลิงก็อุ้มลูกส่งให้เขาแต่โดยดี (โฮ..แง้....)

ฮือ..ฮือ..ตอนฟังพระอาจารย์เล่า..ก็กล้ำกลืนน้ำตาไปหลายอึกแล้ว..พอมาพิมพ์เล่าต่อ..กว่าจะจบ..ก็หมดทิชชู่ไปหลายแผ่น..ฮือ..ฮือ..เศร้าจัง

พระอาจารย์ยังบอกอีกว่า .....

เห็นไหม..สัตว์ทุกตัวนั้นจริงๆแล้วก็คือดวงจิตของคนที่มีวิบากกรรม ต้องไปเกิดในร่างของสัตว์ ความรู้สึกเขาก็มีเหมือนๆคนนั่นแหละ..

สัตว์เลี้ยงในบ้านบางตัว..จริงๆก็อาจเป็นบรรพบุรุษเราด้วยซ้ำ..เพราะด้วยจิตผูกพันห่วงลูกห่วงหลาน..ประกอบกับมีวิบากกรรมเข้ามาพอดี..ก็เลยเกิดเป็นสัตว์

พวกที่ตายจากคนปุ๊บแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นี่..จะเป็นสัตว์ที่ฉลาดรู้ความมากค่ะ แต่ข้อจำกัดของร่างกายทำให้เขาแสดงออกแบบคนไม่ได้

พระอาจารย์เคยบอกว่า สัตว์เขามีแต่กิริยา..ไม่มีมารยา คิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น

ดูแลน้องหมาน้องแมวที่บ้านกันดีๆนะคะ

อย่าลืมเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์ผู้ยากที่เจอด้วยนะคะ

สำหรับนางมารร้าย..ถ้าเห็นใครเอาสัตว์ป่า..โดยเฉพาะลูกลิงมาขาย..จะแจ้งตำรวจจับค่ะ..



หมายเหตุ...พี่สาวผม เเกใช้ชื่อ เป็นนางมารร้าย...5555 เหมาะมากๆ

จากเวป.... http://www.watthakhanun.com/webboard/index.php

ธรรมชาติ คือ สิ่งรอบตัว
ธรรมมะ คือ ธรรมชาติ .....ไม่ใช่สิ่งไกลตัวBig Grin
............. ;?? ?..............
*.:??*Parradee ...A Journey of Us - ?.:* *.:??*?;??

อย่าไปเอาอะไรกับนักเขียนนิยาย

06-03-2009, 13:31
Website Find Like Post Reply
karn Offline
you may say I'm a dreamer
******

Posts: 3,884
Likes Given: 81
Likes Received: 97 in 64 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 39
#2
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
อ่านแล้วนึกถึงหมาที่บ้านเลย..อาจเคยเป็นเนื้อคู่กันมาก่อนก็ได้นิ Tongue
In my life, I love you more... [Image: 2685i.jpg]




16-03-2009, 12:47
Find Like Post Reply
Jazzy Metal Offline
Senior member
****

Posts: 309
Likes Given: 0
Likes Received: 1 in 1 posts
Joined: 17 Apr 2008
Reputation: 24
#3
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดเปลี่ยนร่าง ไปเรื่อยๆ มานับชาติไม่ถ้วนครับ แม้แต่พระพุทธองค์เอง ช่วงขณะที่ท่านเจริญความเพียรปฏิบัติเพื่อแสวงหาหนทางหลุดพ้น ท่านได้สำเร็จญาณๆ หนึ่ง ภาษาทางธรรมเรียกว่าบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การระลึกชาติตนเองได้ ท่านได้รู้ชัดแจ้งแทงตลอดถึงการเวียนว่ายตายเกิดของตัวท่านเอง ว่าได้เคยเกิด เป็นมนุษย์ ทั้งคนรวย คนธรรมดา นักพรต เป็นฤๅษี ฯลฯ ได้เคยเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ มากมาย ทั้งพญาลิง เป็นปลา เป็นนก เป็นกวาง เป็นงู ฯลฯ เยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งท่านเองก็ได้บำเพ็ญมาเรื่อยๆ ข้ามภพข้ามชาติ และท่านได้สั่งสมปณิธาณจิตอันยิ่งใหญ่ที่จะมาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า สุดท้ายเมื่อท่านสั่งสมบุญบารมีทุกอย่างสุกงอมถึงพร้อมท่านก็มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ คือ เป็นที่สุดของรูปกายมนุษย์ และท่านยังมีทุกอย่างเพรียบพร้อม ทั้งรูป ทรัพย์ สติปัญญา ภายหลังได้เห็นเทวทูตทั้ง4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ท่านจึงได้ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างทางโลกเข้าสู่หนทางแห่งธรรม จริงๆ ถ้าได้ศึกษาพุทธประวัติของท่าน ก็จะทราบว่าลูกศิษย์ของต่างก็เคยพบเจอกันมาหลายภพหลายชาติมาก่อนแล้วเช่นกัน ทั้งชาติที่เป็นคน และชาติที่เป็นสัตว์...

นี่ก็เป็นสิ่งยืนยันอย่างหนึ่งว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ยังมีหลักฐานยืนยันเรื่องนี้อีกมากมายครับ .....เช่นเรื่องนี้

หมูมือมนุษย์

เมื่อปีหมินกว๋อที่ 20 ณ เจียงเป่ยมีชายเสเพลคนหนึ่ง ชื่อว่า ซือชิ่งจง ชายคนนี้กระทำแต่เรื่องชั่วร้าย ไม่ได้ทำงานทำการอะไร อีกทั้งเขาเป็นคนที่มีนิสัยโหดร้าย ชอบสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ทำให้ทุกคนต่างเอือมระอา ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย

ปีนี้ ซือชิ่งจงเกิดป่วยหนัก ขณะนั้น มีพระธุดงภ์เดินทางผ่านมา เห็นซื่อชิ่งจงนอนซมอยู่ จึงเดินเข้าไปข้างเตียงกล่าวกับเขาว่า

?ปกติ เจ้าชอบทำแต่ความชั่ว เวรกรรมตามมาทันแล้ว ถึงแม้ว่าจะหมดชาตินี้ไปแล้วเวรกรรมที่กระทำลงไปก็หาได้หมดลงไปด้วยไม่ ภายหลังที่เจ้าเสียชีวิตแล้วเจ้าจะเกิดเป็นหมูในชาติหน้า?

ขณะนั้น ซือชิ่งจงป่วยหนักมาก เขารู้ตัวเองว่าไม่รอดชีวิตแน่ๆ แล้ว เมื่อได้ยินพระพูดเช่นนั้น ในใจก็กลัวเวรกรรม ถึงแม้ว่าจะสำนึกผิดต่อกรรมชั่วที่ได้กระทำลงไป แต่ก็สายเกินไปแล้ว เมื่อรู้ว่าชาติหน้าจะกลายเป็นหมู เขาจึงยกแขนซ้ายมาวางไว้บนอก เพื่อจะไหว้พระ พระซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่า "น่าเสียดาย น่าเสียดาย เจ้าใช้มือเดียวไหว้พระ เจ้าก็หาได้หลีกพ้นจากการเกิดเป็นหมูไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น มือซ้ายของเจ้าก็สามารถหลุดพ้นจากการเกิดเป็นหมูได้ และเจ้าจะไม่ต้องถูกฆ่ากินเหมือนหมูทั่วๆ ไป?

หลังจากนั้นหลายวัน อาการป่วยของซือชิ่งจงก็ทรุดหนักขึ้น จนในที่สุดก็สิ้นชีวิตลง ชาวบ้านทั้งหลาย ไม่ได้เสียใจต่อการเสียชีวิตของคนชั่วเช่นนี้ แต่กลับดีใจต่างหาก นานวันเข้าทุกคนต่างลืมเรื่องราวของเขา แน่นอน คำพูดของพระ ก็ไม่มีใครจำมันไว้ในใจ

ภายหลังที่ซือชิ่งจงเสียชีวิตไป ได้ 7 วัน เพื่อนบ้านของเขาเลี้ยงแม่หมูไว้ตัวหนึ่ง ได้คลอด "ลูกหมูประหลาด" ออกมา ขาซ้ายหน้าของหมูตัวนี้ มีลักษณะเหมือนกับมือซ้ายของคนอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงแต่มีนิ้วครบทั้ง 5 นิ้ว ขนาดใหญ่โตสั้นยาวก็เหมือนกับมือของคน อีกทั้งยังมีเล็บครบทั้ง 5 นิ้ว เมื่อเพื่อนบ้านทั้งหลายมาดูหมูประหลาดตัวนี้ ก็คิดถึงคำพูดของพระที่กล่าวไว้ว่า "เจ้าใช้มือเดียวไหว้พระ เจ้าก็หาได้หลีกพ้นจากการเกิดเป็นหมูไม่ แต่ว่า ------ มือซ้ายของเจ้าก็สามารถหลุดพ้นจากการเกิดเป็นหมูได้......? ดังนั้นข่าวการกลับชาติมาเกิดของซือชิ่งจงแพร่กระจายออกไปทั่ว ชาวบ้านทั้งหลาย นำเรื่องนี้มาพูดคุยกัน คนเฒ่าคนแก่นำเรื่องนี้มาสั่งสอนลูกหลาน อย่าให้พวกเขากระทำชั่วเด็ดขาด เพราะว่าเรื่องของซือชิ่งจงเป็นเรื่องสอนใจได้ดีทีเดียว

ภายหลังที่ แม่หมูให้กำเนิดลูกหมูประหลาดออก แล้วข่าวนี้รู้ถึงหูของญาติพี่น้องของซือชิ่งจง เพื่อไม่ให้หมูประหลาดตัวนี้ถูกฆ่ากินเนื้อ ญาติของซือชิ่งจงจึงต้องซื้อหมูตัวนี้ด้วยราคาที่แพงมาก หลังจากนั้นก็ส่งหมูตัวนี้ไปเลี้ยงที่วัดเป่าหัวซื่อที่เซี่ยงไฮ้ และก็แปลกมาก ทุกครั้งที่มีคนมาดู หมูตัวนี้ก็จะหาที่แอบซ่อนตัว ราวกับว่าอายที่จะเจอหน้าใครๆ เรื่องราวนี้ ผู้คนต่างเชื่อว่าหมูประหลาดตัวนี้ชาติก่อนต้องเป็นซือชิ่งจงอย่างแน่นอน
.................................................................................................................
นี่ก็เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งจากหลายๆ ตัวอย่างครับ

ถ้าเราตระหนักเรื่องนี้ เราควรจะมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ ไม่ทำร้าย เบียดเบียน และที่สุดแล้วควรจะงดรับประทานเนื้อสัตว์เลยครับ เพราะเนื้อที่เรากินเข้าไปนั้นล้วนแต่เคยเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง มิตร สหาย เรามาแน่ๆ ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งครับ

ชาวพุทธ ลองหาพระสูตรที่ชื่อว่า ลังกาวตารสูตร มาศึกษาดูนะครับ พระสูตรนี้กล่าวไว้เกี่ยวกับการที่เราไม่ควรทานเนื้อสัตว์เพราะอะไร

มนุษย์โดยธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นชาติใด ศาสนาใด ล้วนแต่มีจิตที่สว่างไสวหรือ โพธิจิต เหมือนกัน ครับ อยู่ที่ใครจะทำลายหมอกที่มาบังโพธิจิตที่เราได้สร้างไว้กับตัวเราเองได้ก่อน ผู้นั้นก็ย่อมพ้นทุกข์ก่อนครับ
แบ่งปันกันอ่านครับ

บทความ"ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่" ตัดมาบางส่วนเพราะถ้านำมาทั้งหมดจะยาวมาก เนื่องจากเป็นการถอดจากคำเทศนา

โดย ธรรมสาทโร ภิกขุ เทศนาออกอากาศ วิทยุชุมชนเทพนิมิตมงคล 98.25 Mhz
วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2551 และ วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2551


..."อาตมาอาจจะมีความโชคดีเล็กน้อย คือ ได้มีโอกาสเห็นสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับการเกิด เจ็บ ตาย และได้มีโอกาส ศึกษาธรรมมาบ้างพอควร สองสิ่งนี้ เมื่อมารวมกัน ก็จะเกิดเป็นปัญญา ให้ฉุกคิด ทำให้เราคิดที่จะลงมือทำ ให้รู้จักสร้างเหตุ อุดรูรั่วต่างๆให้หมด ให้รู้จักตัวตนจริงๆของตัวเอง ให้รู้จักสภาวธรรมจริงแท้ ให้รู้จักพุทธจิตธรรมญาณเดิมของตัวเองว่าเป็นเช่นไร ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเป็นเกราะป้องกันภัย ให้กับตัวเอง ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ..ขอพูดถึงพุทธจิตธรรมญาณสักหน่อย จริงๆ แล้วแต่เดิมนานมาแล้วไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสนปี ก่อนที่เราจะได้มาจุติเป็นมนุษย์ เรามีดวงจิตเดิมแท้ ซึ่งมาจากที่เดียวกันเป็นดินแดนที่สุขสงบ เป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ใสสะอาดดุจเพชรที่เจียระไนและขัดถูอย่างประณีต แต่เมื่อมาจุติเป็นมนุษย์แล้ว นานวันนานปีเข้าก็ถูกกระแสแห่งกิเลส มี ความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นพลังร้าย สิ่งเหล่านี้ทำให้ดวงจิตมัวหมองลง และยิ่งถ้าไม่มีโอกาสพบเจอพุทธศาสนา ขาดการขัดเกลา เมื่อมันเกาะกับดวงจิตแน่นเข้าๆ ดวงจิตเหล่านั้นก็มัวหมองลงไปเรื่อยๆ แสงสว่างแห่งปัญญาก็หมดลงตามไปด้วย เมื่อหมดปัญญาก็ไม่รู้จักการสร้างบุญ เมื่อไม่รู้วิธีก็ไม่สามารถที่จะกลับขึ้นไปจุติยังภพภูมิของตัวเองที่เคย อยู่มาแต่เดิม และด้วยแรงกรรมที่ได้ทำไว้ ก็ได้ไปจุติเป็นสิ่งต่างๆ ตามที่กรรมกำหนด ถ้าทำกรรมไว้มากๆ ก็ไม่รู้จักกี่ชาติจึงจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก และก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสได้พบกับกระแสธรรมของพุทธองค์หรือไม่ เมื่อหมดบุญก็จะต้องกลับไปเวียนวนอยู่อย่างนั้นต่อไป ....

.............................................................................................................

ว่ากันต่อ เหตุผลสุดฮิตเลยที่ทำให้คนเราไม่หยุดกินเนื้อสัตว์ เพราะว่า คนเราถือว่าสัตว์เป็นอาหาร แทบทุกคนยอมรับในสภาพที่เป็นจริงของโลกนี้ว่า ต้องมีการกิน อยู่ หลับนอน สืบพันธุ์ สัตว์ก็คือ อาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เป็นอาหารที่ธรรมชาติมอบเอาไว้ให้เค้ากินนี่หว่า เค้าก็กินมันน่ะซิ ถ้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์จะไม่มีแรงทำงาน หิวง่าย ต้องกินข้าวบ่อยๆ กลัวจะเป็นลม สารพัด แต่ประเด็นหลักๆ เลยก็คือ ?กลัว? กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวที่จะเป็นคนดี กลัวที่จะทำความดี กลัวที่จะยืนอยู่บนความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ กลัวที่จะถูกสภาวธรรมจริงแท้เข้าปกครอง กลัวการสำนึกในสิ่งที่ทำผิด ที่ผ่านมา อาตมาไม่อยากจะว่านะ แม้แต่สัตว์ต่างๆ ยังรู้จักที่จะทำตามสภาวธรรมของตัวเองเลย ทำตามกรอบตามขอบเขตของมัน มันรู้ว่ามันควรจะกินอะไร หรือไม่ควรกินอะไร ไม่ต้องให้มีใครคอยบอกคอยสอน...........

..........................................................................................................
มองในแง่ของบุญบาปกันก่อนนะ เมื่อเราได้ลงมือฆ่าถือว่าเราเป็นผู้ทำบาปอย่างแน่นอนถูกต้องมั้ย?? สิ่งนี้ทุกคนยอมรับ พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญไว้เป็นอันดับ1เลย ทั้งนี้ก็ด้วยความเมตตาอย่างหาประมาณมิได้ และด้วยพระปัญญาที่เฉียบคมแยบคาย ทรงกำหนดศีลขั้นน้อยสุดแค่ 5 ข้อ แต่ครอบคลุมได้ทั้งจักรวาลเลย คิดตามให้ดีๆนะ ถ้าโลกนี้ทั้งโลกนับถือศาสนาพุทธ ทุกคนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แค่ข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ เมื่อไม่มีซึ่งการฆ่าสัตว์ มนุษย์จะได้มีโอกาสกินสัตว์มั้ย?? เอ้า!! ตอบดังๆ ในใจ แล้วที่โยมกินกันอยู่ทุกวันนี้มันถูกหรือมันผิด ตอบ? แล้วเรายอมรับด้วยใช่หรือไม่ว่าทำบาปกรรมไปแล้วจะต้องตกนรก ไปเกิดเป็นโน่นนี่ ไปเกิดเป็นสัตว์ก็เยอะ แล้วเรารู้มั้ยว่า พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตายาย เราที่ตายไปแล้ว จะไปเกิดเป็นอะไร มีใครสามารถรับประกันได้มั้ยว่าเค้าเหล่านั้นทำบุญมาเพียงพอ ไม่ต้องมาเกิดอีก ด้วยแรงกรรมผลักดันจิตไปเกิดเป็นสิ่งต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน สัตว์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วโยมคิดว่าในชีวิตนี้ ที่เกิดมาไม่รู้จักกี่ปี กินไปรู้จักกี่ตัวเข้าไปแล้ว คิดคิดหรือว่าโยมจะไม่เคยกิน พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตายาย เป็นบาปหนักหรือไม่ แล้วเค้าจะเสียใจมั้ย..??

.............................................................................................................

แม้ไม่ได้ฆ่าเอง แต่การกิน การซื้อ ก็เหมือนการสั่งจ้างเค้าฆ่า....
โยมซื้อเนื้อสัตว์จากพ่อค้ามากินก็บาป แต่โยมยังจะเถียงอีก ?ฮ่วย!! ครูบาพูดบ่เข้าใจ๋ บ่บาปแน่นอนข้าน้อย ฉันไม่ได้ไปสั่งให้ฆ่าไก่นะครูบา มันตายรอให้คนมาซื้ออยู่แล้ว มันจะบาปยังไง ตังก็ต้องเสียยังจะบาปอีกหรอ ไม่ได้ไปขโมยไก่เค้ามากินนะ ก็ต้องปลอดภัยจากบาป ไม่บาปแน่ๆ ยืนยันฟันธง!!เลยข้าน้อยบ่ผิด บ่บาป!!? แต่อาตมาก็ยังว่าบาปอยู่ดี บาปเพราะโยมเป็นตัวการทำให้เกิดการฆ่า เข้าใจบ่ (ยังทำหน้างงอยู่อีก) ถ้ายังไม่เข้าใจอีกจะอธิบายเพิ่ม อาตมาจะโยง ให้เห็นถึงวัฎจักรและสาเหตุที่สัตว์มันต้องถูกฆ่าให้ดู ในหลักการของพ่อค้าเมื่อจะหาสินค้าซักอย่างนึงมาขาย ต้องทำยังไงบ้างโยมคิดซิ ?.ให้เวลาคิด 1 นาที ไม่รอหรอก เฉลย

1. ต้องดูความต้องการของตลาด
2. ดูแหล่งวัตถุดิบ
3. ดูความคุ้มค่าในการผลิต

ถ้าเค้าผลิตออกมาแล้วไม่มีคนกิน ก็แย่นะ เจ้งแน่ ยกตัวอย่างไก่ย่าง 5 ดาว ขายดีเชียวในเมืองหลวง ตอนนี้ล่าสุดทำไก่จ้อออกมาอีก เป็นเพราะเค้าทำการตลาดถูกทาง คือมีการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ มีการวางจุดขาย กระจายอยู่ทั่วประเทศ รูปแบบร้านและสินค้า ดูแล้วน่าสนใจ น่ากิน มีความอร่อยด้วย คนถึงได้กินอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลากว่า 20 ปีนะ นี่แหละคือวัฎจักร เมื่อมีคนกินไก่ มันก็มีการฆ่าไก่ ยิ่งกินไก่กันมาก ไก่ก็จะถูกฆ่ามาก เมื่อต้องฆ่าไก่มากๆ ก็ต้องทำเป็นระบบ ก็ต้องทำเป็นโรงเลี้ยงไก่เอง ทำเป็นโรงงานฆ่าไก่ และแปรรูปไก่เอง ทำเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ คราวนี้ก็กระจายจุดขายสินค้าให้ทั่วถึง ทั่วทั้งประเทศ และยังผลิตเผื่อออกไปทั่วโลกอีก ถ้ายังผลิตไม่ทันขายอีกต้องใช้สารเร่งให้ไก่โตเร็วๆ จะได้ขายได้ทัน เมื่อไก่ถูกเร่งให้โตเร็วๆ ซึ่งเป็นการโตแบบผิดปกติ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ภูมิต้านทานในตัวไก่ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไก่เป็นโรคต่างๆ มากมาย มีไข้หวัดนกเป็นต้น ทีนี้ก็ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไก่สารพัดมากมาย คราวนี้คนที่กินเข้าไปได้รับผลโดยตรงเป็น 3 เท่าเลย คือ 1. สารเร่งให้สัตว์โตเร็วๆ 2. วัคซีนตกค้างต่างๆ 3. และสารพิษที่สัตว์หลั่งไว้ก่อนตาย มองเห็นภาพมั้ย
ถ้ามีคนจำนวนหนึ่งที่รักษาศีลของพุทธองค์ได้อย่างเยี่ยมยอด เชื่อในคำสอนของพุทธองค์และพยายามที่จะสร้างบุญ โดยพยายามหยุด วัฎจักรการฆ่า ด้วยการที่ไม่กิน ไม่สนับสนุนสินค้าที่ทำจากหนังสัตว์ฯลฯ สัตว์เหล่านั้นก็จะตายน้อยลง ที่จะต้องเป็นเช่นนั้นเพราะพ่อค้าทำสินค้าออกมา แล้วขายไม่ได้ มันก็เหลือ ของสดเก็บไว้นานก็บูดเสีย เค้าก็จะต้องลดปริมาณการผลิตลง ยิ่งมีคนแบบนี้มากขึ้นๆ จนไม่มีคนบริโภคไก่ เค้าก็ต้องหยุดการผลิตไก่ หยุดการฆ่าไก่ นั่นเอง.......

...............................................................................................................
กับการที่โยมกินเนื้อสัตว์เพียงตัวเดียว โยมรักษาศีลได้ไม่ครบแล้วนะรู้ตัวมั้ย และไม่ได้ผิดธรรมดา ผิดรวดเดียว 4 ข้อเลย ทำหน้างงอีก เอ้า!!อธิบายให้ฟังต่อ เราถือเอาวิสาสะคิดว่าสัตว์เหล่านั้นกินได้ เหล่านี้กินได้ เราแย่งชิงมาโดยที่เจ้าของเค้าไม่ได้ให้ เราไม่ได้เอาเปล่าเราเอาทั้งตัวเค้า เอาทั้งชีวิตของเค้ามาเลย แล้วเคยมีมั้ยที่สัตว์มันจะบอกว่า ?เอาไปเลยลูกพี่ เอาชีวิต เอาเนื้อผม เอาเลือดผม ไปทำอาหารให้อร่อยเหาะไปเล้ย!! เอ้าถ้ายังไม่พอกิน เอาลูกผม เมียผม ไปกินด้วยเลย เพื่อลูกพี่ผมเต็มใจถวายชีวิตนี้ให้ครับ? แบบนี้มีมั้ย?? หรือสัตว์มันเห็นโยมถือมีดกับเขียง มันก็รีบวิ่งเอาคอมานอนรอบนเขียงบอก ?ลูกพี่รีบๆ สับคอผมเลยเร็วๆ ผมเมื่อยแล้วนะ? มีมั้ย?? มีแต่มันจะวิ่งหนี มันร้องขอชีวิตมันพูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ มันก็ร้องเป็นเสียงสัตว์แต่เราฟังไม่เข้าใจ แต่มีผู้รู้แปลออกมามีเนื้อหาใจความเดียวกันคือ ?ไว้ชีวิตฉันเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันต้องมีภาระเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย/เลี้ยงผัว อย่ากินฉันเลยนะ ขอร้องล่ะ? ถึงตรงนี้ โยมรู้ตัวรึยังว่าผิดศีลข้ออะไรบ้าง

1. ขโมยชีวิต ฆ่าสัตว์ + ลักทรัพย์ เอาชีวิตเค้ามาโดยที่เค้าไม่ยินดีที่จะให้
2. โยมทำลายชีวิตครอบครัวเค้าให้พินาศแตกแยก อาจจะขาดพ่อ ขาดแม่ ขาดลูก ไม่ต่างอะไรกับ การประพฤติผิดในกาม ซึ่งท้ายที่สุดก็ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกเช่นกัน
3. โยม พูดโกหก ปากบอกว่าถือศีลๆ แต่จริงๆแล้วยังไม่ได้ถือแบบนี้เข้าข่าย ?มือถือมีด ปากถือศีล?

.........................................................................................................


จริงๆ แล้วการละเว้นเนื้อสัตว์ไม่ถือว่าจะได้บุญนะโยม แต่สิ่งที่ได้จะเป็นการหยุดการสะสมบาปกรรมที่จะพอกพูนขึ้นมาใหม่ และทำให้เราสร้างบุญใหม่เพื่อที่จะไปใช้หนี้กรรมเก่าให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทั้งหลายได้เร็วขึ้น การละเว้นเนื้อสัตว์เป็นการปิดตายประตูบาป ปิดรูรั่วของถังบุญโยมเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าคนที่กินเจ กินมังสวิรัติจะได้บุญมากมายเพิ่มเป็นทวีคูณ เลิศหรูกว่าคนที่ไม่ได้กิน กินแล้ววิเศษจนแทบจะเหาะได้ กินแล้วก็ทะนงตัวว่าข้าทำได้ เอ็งทำไม่ได้ข้าย่อมเหนือกว่าเอ็งฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ไม่ใช่เลย อย่าไปคิดอย่างนั้นนะ คนเค้าจะเกลียดเอานะ แค่นี้คนที่กินเนื้อสัตว์เค้าก็มองเราว่าเราเป็นตัวประหลาดแล้ว ไรว่ะของดีๆ มีไม่กินบ้าป่าว?? ตอนอาตมาฉันช่วงแรกๆ อยู่ด้วยกันกับโยมเพื่อนก็ชอบแกล้งเอาเนื้อสารพัด ตักใส่ช้อนแล้วร่อนผ่านหน้า ผ่านไปผ่านมา เอามั้ยๆ ไม่อยากกินหรอ อร่อยน้าาาาา พูดล้อต่างๆ ก็ใจมันไม่อยากกินจะบังคับให้กินก็ไม่ได้นี่ เราก็ได้แค่ยิ้มตอบ ได้แค่หัวเราะตอบ ไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายเมื่อเค้าได้เรียนรู้อะไรดีขึ้นเค้าก็หันมากินเหมือนเรา คราวนี้ก็ไม่กล้าแกล้งอะไรแล้ว เมื่อเราได้อุดรูรั่วของถังบุญเราแล้ว ทีนี้โยมจะใส่บุญไปเท่าไหร่ มันก็ไม่รั่วออก บุญโยมก็จะเต็มไว เต็มเร็วขึ้น มีบุญทันพอที่จะใช้หนี้เค้าเร็วขึ้น วันไหนที่เจ้าหนี้มาทวง เราก็จะมีบุญสำรองเก็บไว้

...........................................................................................

พูดมาเนิ่นนาน พอจะมีใครสักคนมั้ยที่กล้าเปลี่ยนแปลง ที่จะเป็นปลาผู้กล้าหาญ ว่ายทวนน้ำ ว่ายทวนกระแสกรรม ว่ายไปจนถึงต้นกรรมแล้วกระโดดข้ามพ้นไป เป็นมนุษย์ผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ด้วยกัน เป็นมนุษย์ที่เทวดารักใคร่ไปไหนก็ปกปักษ์รักษา เป็นมนุษย์ที่สัตว์ต่างๆ รักและอยากอยู่ใกล้ๆ เป็นมนุษย์ที่รักษาศีลได้ครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานของจริง เป็นผู้ที่อุดรูรั่วของถังบุญได้อย่างดีเยี่ยม เป็นมนุษย์ที่รู้หน้าที่ของตนและควบคุมสติควบคุมตนเองได้ดีเลิศ เป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตตามสภาวธรรมจริงแท้ของตัว เป็นผู้ที่เจ้ากรรมนายเวรยังให้อภัยและเห็นใจในความดี เป็นผู้ที่เดินอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบที่เห็นแสงสว่างส่องนำเป็นทางลัดให้เดิน ออกจากป่านั้น และเป็นผู้ที่อาตมาจะแผ่เมตตาให้เป็นพิเศษ"

.................................................................................................
ที่มาของบทความ http://www.mindcyber.com/?p=69
.......................................................................................


ขออนุโมทนาทุกท่านที่กรุณาเปิดใจอ่านครับ ถ้าท่านเป็นหนึ่งที่กล้าเปลี่ยนแปลง ยอมลำบากตนเอง เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้เพียงแค่เริ่มคิด ก็ขอเป็นกำลังใจให้ครับ

กระผมก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฎเช่นเดียวกับทุกท่าน เราทุกคนสามารถช่วยกันทำโลกนี้ให้น่าอยู่ขึ้น เป็นโลกที่ปราศจากการฆ่า ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์กันเถิดครับ
.......................................................................................
Smileอนุโมทนาพี่หนึ่ง หัตยา มากนะครับ ที่เปิดกระทู้ดีๆ เช่นนี้ Smile
........................................................................................

..........................................................................................................
++..Love Animals, Stop Eating Them..Please..++
(This post was last modified: 17-03-2009, 01:01 by Jazzy Metal.)
17-03-2009, 00:06
Website Find Like Post Reply
pood Offline
VIP member
******

Posts: 6,313
Likes Given: 13
Likes Received: 390 in 213 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 77
#4
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
แล้วซื้อกีต้าร์นี่บาปไหมครับ

ถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วบาปเพราะสัตว์เป็นสิ่งที่มีชีวิต มีวิญญาณ ผมว่าต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันเพียงแต่มันพูดไม่ใด้และเดินไม่ใด้ มันคงไม่อยากโดนตัดมาทำกีต้าร์หรอก

เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี่ผมอยากจะเชื่อครับเพราะอีกทางเลือกหนึ่งก็คือการดับสูญไปเลยซึ่งไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ผมไม่เคยคิดทำความดีเพื่อหวังผลบุญในชาติหน้าแต่ทำเพราะเมื่อทำแล้วมันมีความสุขในชาตินี้แหละครับ

ตอนเด็กๆผมเคยถามพระว่าถ้าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องจริงแล้วทำไมประชากรโลกมันถึงเพิ่มขึ้นทุกวัน พวกวิญญาณใหม่นี่มาจากไหน
พระท่านบอกว่าก็มาจากพวกสัตว์ไง อย่างพวกสัตว์ที่ยอมสละชิวีตของตนเองเพื่อประทังความหิวให้กับคนนี่ก็ใด้ผลบุญจนใด้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าผมเลิกกินเนื้อสัตว์มันก็คงไม่ใด้ผุดใด้เกิดใช่ไหมครับ

แล้วคุณคิดว่ามนุษย์มาจากไหนครับ ฝรั่งเขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างแต่ศาสนาพุทธไม่เคยบอกว่ามาจากไหน วันดีคืนดีก็โผล่ขึ้นมาแล้วยังทะลึ่งมาทำให้โลกร้อนอีก
18-03-2009, 12:35
Find Like Post Reply
Jazzy Metal Offline
Senior member
****

Posts: 309
Likes Given: 0
Likes Received: 1 in 1 posts
Joined: 17 Apr 2008
Reputation: 24
#5
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
(18-03-2009, 12:35)pood Wrote: แล้วซื้อกีต้าร์นี่บาปไหมครับ

-ถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วบาปเพราะสัตว์เป็นสิ่งที่มีชีวิต มีวิญญาณ ผมว่าต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันเพียงแต่มันพูดไม่ใด้และเดินไม่ใด้ มันคงไม่อยากโดนตัดมาทำกีต้าร์หรอก


-เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี่ผมอยากจะเชื่อครับเพราะอีกทางเลือกหนึ่งก็คือการดับสูญไปเลยซึ่งไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ผมไม่เคยคิดทำความดีเพื่อหวังผลบุญในชาติหน้าแต่ทำเพราะเมื่อทำแล้วมันมีความสุขในชาตินี้แหละครับ

-ตอนเด็กๆผมเคยถามพระว่าถ้าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องจริงแล้วทำไมประชากรโลกมันถึงเพิ่มขึ้นทุกวัน พวกวิญญาณใหม่นี่มาจากไหน
พระท่านบอกว่าก็มาจากพวกสัตว์ไง อย่างพวกสัตว์ที่ยอมสละชิวีตของตนเองเพื่อประทังความหิวให้กับคนนี่ก็ใด้ผลบุญจนใด้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าผมเลิกกินเนื้อสัตว์มันก็คงไม่ใด้ผุดใด้เกิดใช่ไหมครับ

แล้วคุณคิดว่ามนุษย์มาจากไหนครับ ฝรั่งเขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างแต่ศาสนาพุทธไม่เคยบอกว่ามาจากไหน วันดีคืนดีก็โผล่ขึ้นมาแล้วยังทะลึ่งมาทำให้โลกร้อนอีก

ขอบคุณพี่กฤษณ์ ครับ ที่ช่วยแชร์ประสบการณ์

ก่อนอื่นขอแจ้งกับน้าๆ ทุกท่านว่าที่การพิมพ์กระทู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาจะมายกย่องคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ หรือจะกล่าวตำหนิคนที่กินเนื้อสัตว์ (เพราะคนที่กินเนื้อมากมายที่เป็นคนดี และคนไม่กินเนื้อบางคนจิตใจโหดร้ายก็มี) ไม่ได้มีเจตนาที่จะเขียนกระทู้นี้เพื่อแสดงการอวดรู้ และไม่ได้เจตนาแม้แต่จะให้กระทู้นี้ต้องมาเปลี่ยนความคิดใครครับ ทุกคนมีทางเลือกในชีวิตและการปฏิบัติของตนเอง ผมแค่เห็นกระทู้ของพี่หนึ่งหัตยา รู้สึกว่าเป็นกระทู้ที่ดี จึงอยากจะขอร่วมแบ่งปันสิ่งที่ผมและคนอีกมากมายบนโลกนี้ ไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็คือ "การฆ่า" ผมเชื่อในกฏแห่งกรรม(Cause&Effect) และก็มีความห่วงใยเพื่อนพี่น้องร่วมโลกว่าอาจจะสร้างกรรมทางปากทุกวันโดยไม่ตั้งใจ แต่ผมทราบว่าประเด็นเรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเป็นเรื่องที่ต้องขึ้นกับวิจารณญาณส่วนบุคคล ดังนั้นถ้าท่านเห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นประโยชน์กับตัวท่านบ้างท่านก็ลองเก็บไปพิจารณาดู แต่ถ้าท่านในวันนี้เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่เป็นไรครับ

ผมก็เป็นปุถุชนคนด้อยปํญญาคนหนึ่ง ที่มีโอกาสรับรู้ ศึกษาและเห็นเรื่องราวหลายๆอย่างที่ไม่สามารถเล่าตรงนี้ได้ และไม่สามารถพิมพ์ออกมาให้ทุกท่านรับรู้เหมือนผมได้(ขออภัยที่ต้องบอกอย่างนี้ การรับรู้สิ่งเหล่านี้มันเป็นประสบการณ์จริงส่วนตัว ของผมและคนใกล้ตัวครับ ไม่เจอกับตาไม่เจอกับตัวอาจจะไม่เชื่อ) ซึ่งการรับรู้เหล่านั้นทำให้ผมรู้ว่า สัตว์มันเวียนว่ายตายเกิดจากคนจริงๆ และมันไม่ได้เต็มใจสละชีวิตให้คนกิน คนต่างหากที่ไปใช้อำนาจ กำลังของตนไปฆ่าเขา

ผมขอร่วมแสดงความเห็นในกรณีของพี่กฤษณ์นะครับ ตามแต่ปัญญา ความรู้ การศึกษาธรรม อันด้อยของผม

Q:ถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วบาปเพราะสัตว์เป็นสิ่งที่มีชีวิต มีวิญญาณ ผมว่าต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันเพียงแต่มันพูดไม่ใด้และเดินไม่ใด้ มันคงไม่อยากโดนตัดมาทำกีต้าร์หรอก?

A: ประเด็นนี้ดีมากครับ พืชผักทั้งหลายก็เป็นของมีชีวิต กินแล้วมิเป็นบาปด้วยหรือ?

พืชผักเป็นสิ่งมีชีวิตก็จริงอยู่แต่มีองค์ประกอบชีวิตที่ต่างไปจากมนุษย์และสัตว์ กล่าวคือ

มนุษย์มีองค์ประกอบของชีวิต 3 ส่วนคือ
1. จิตญาณแห่งความรู้เหตุและผล คือ วิจารณญาณ
2. จิตญาณแห่งการต่อสู้ดิ้นรนหนีภัย คือ สัญชาติญาณ
3. พลังแห่งการเจริญเติบโต คือ พลังชีวิต
สัตว์ทั้งหลายมีองค์ประกอบของชีวิต 2 ส่วนคือ 1.จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ดิ้นรน หลบหลีกหนีภัย คือ สัญชาติญาณ 2. พลังแห่งการเจริญเติบโต คือ พลังชีวิต

แต่พืชมีองค์ประกอบของชีวิตเพียงหนึ่งส่วนคือ พืชจะมีพลังชีวิต คือ พลังแห่งการเจริญเติบโตเท่านั้น ไม่มีเวทนาความรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ไม่มีสัญญาหรือความจำได้หมายรู้ การกินพืชผักผลไม้จึงไม่มีเหตุปัจจัยก่อให้เกิดบาปเวร การกินพืชผักผลไม้ไม่เป็นการทำลายล้างโดยธรรมชาติพืชผักผลไม้จะหมุนเวียนผลิ ดอกออกผลให้ทุกชีวิตได้อาศัยรับประทานอยู่ตลอด แม้ไม่มีผู้ใดเก็บมารับประทานผลก็จะหลุดล่วงตกหล่นกลับเป็นปุ๋ยบำรุงต้นต่อ ไป พืชผักผลไม้อาศัยการกินของมนุษย์และสัตว์เพื่อช่วยขยายพันธุ์ ยิ่งบริโภคก็ยิ่งแพร่พันธ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ธรรมชาติสร้างให้ต้นไม้ไม่โต้ตอบไม่ทำร้ายใครไม่วิ่งหนี แต่มีพลังชีวิตสูงเป็นพิเศษสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยน แปลงเพื่อการดำรงอยู่
ดังนั้นพืชผักผลไม้จึงเป็นอาหารที่ธรรมชาติมอบให้แก่ทุกชีวิตบนโลก พืชพรรณไม้ทั้งหลายก็เฉกเช่นเดียวกันกับธรรมที่ให้ความสุขใจและความร่มเย็น แก่ชีวิตโดยแท้

ตรงนี้ผมได้ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากหนังสือ พระประทีปแห่งเมตตา และอาหารสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม

ส่วนการตัด ทำลายต้นไม้ ให้ตายลง เพื่อความสนุกสนาน หรือการตัดอย่างพร่ำเพรื่อ หรือการลักลอบตัดเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมของโลก ไม่คำนึงถึงเพื่อนมนุษย์หรือสัตว์ที่ต้องอาศัยประโยชน์จากต้นไม้ ทำให้ผู้อื่นลำบาก อย่างนี้มันไม่ดีตั้งแต่คิดแล้วครับ
โลกร้อนก็เป็นผลกรรมจาก"จิตสำนึกโดยรวม"ของมนุษย์ครับ เพราะเราทุกคนที่รู้ รัฐบาลที่รู้ ก็ยังปล่อยให้มีการตัดกันต่อไป ทุกคนก็ต้องรับผลร่วมกันครับ อย่าคิดโวยวายว่าตัวเองไม่ได้ตัดแล้วทำไมต้องรับผลตรงนี้ ฉะนั้นการเห็นคนอื่นทำไม่ดีแล้วเราไม่สนใจทั้งๆ ที่อาจจะยับยั้งได้ สุดท้ายผลนั้นมันก็อาจจะกลับมาหาเราได้ครับ

ส่วนเรื่องธุรกิจการตัดไม้สำหรับมาทำกีตาร์พี่กฤษณ์และน้าท่านอื่นน่าจะทราบตื้นลึกหนาบางดีกว่าผมครับ ยังไงน้ากฤษณ์ช่วยเล่าให้ฟังด้วยครับ ผมก็อยากทราบเหมือนกันครับ


Q:เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี่ผมอยากจะเชื่อครับเพราะอีกทางเลือกหนึ่งก็คือการดับสูญไปเลยซึ่งไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ผมไม่เคยคิดทำความดีเพื่อหวังผลบุญในชาติหน้าแต่ทำเพราะเมื่อทำแล้วมันมีความสุขในชาตินี้แหละครับ

A: ผมว่าคนที่คิดแบบน้ากฤษณ์ได้ จะสบายใจมากครับ การทำบุญหวังผล พระท่านว่าไม่ควรอย่างยิ่งครับ เพราะใจมันจะไม่เกิดกุศลจริง มันทำด้วยความคาดหวังผลประโยชน์
การได้ทำบุญแล้วมีความสุข(กุศล)ในใจ ณ ปัจจุบันขณะที่ทำนั่นถูกต้องที่สุดครับ


Q:ตอนเด็กๆผมเคยถามพระว่าถ้าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องจริงแล้วทำไมประชากรโลกมันถึงเพิ่มขึ้นทุกวัน พวกวิญญาณใหม่นี่มาจากไหน
พระท่านบอกว่าก็มาจากพวกสัตว์ไง อย่างพวกสัตว์ที่ยอมสละชิวีตของตนเองเพื่อประทังความหิวให้กับคนนี่ก็ใด้ผลบุญจนใด้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าผมเลิกกินเนื้อสัตว์มันก็คงไม่ใด้ผุดใด้เกิดใช่ไหมครับ
?

A:จริงๆ จิตวิญญาณโดยทั่วไปมันไม่ได้เพิ่ม-ลดหรอก (แต่อาจมีการเพิ่มได้ในบางกรณีพิเศษ ซึ่งจะกล่าวถึงภายหลัง) แต่มนุษย์ไม่อาจสำรวจจำนวนได้ทั้งหมด เพราะการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้มีแค่ภพภูมิ ของมนุษย์และสัตว์ มันยังมีภพภูมิของพรหมต่างๆ เช่น เทวดา เทพชั้นพรหมต่างๆ คนสมัยแรกๆ ส่วนมากจิตใจยังใสบริสุทธิ์ สร้างสิ่งดีๆทำกรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว ถ้ายังไม่บรรลุถึงจิตเดิมแท้ หรือยังไม่หลุดพ้นการเวียนว่ายในวัฏสงสาร ก็ได้ไปจุติในชั้นพรหม เป็นเทวดา ถ้าผลบุญมากก็เสวยผลบุญนาน เมื่อหมด จึงตกมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วไปสร้างเหตุแห่งกรรมที่ไม่ดีก็อาจจะต้องไปเป็น เปรต สัตว์ นรก ฯลฯ เสวยทุกข์ จนหมดกรรม แล้วอาจจะต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบนโลกต่อไป สิ่งเหล่านี้คือวัฏสงสาร ถ้าบนโลกก็อาจสำรวจจำนวนได้ แล้วภพภูมิอื่นที่ไม่ใช่บนโลกละ เราก็ไม่สำรวจได้ แล้ว ระยะเวลาของแต่ละภพภูมิก็ไม่เท่ากันด้วย สมมติ เช่น 1วัน บนสวรรค์ อาจจะ = 400ปี บนโลกมนุษย์(สมมตินะครับไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอน)
สรุปแล้วเราจึงไม่สามารถสำรวจจำนวนดวงวิญญาณได้ทั้งหมดหรอกครับ

การเพิ่มของดวงวิญญาณ เท่าที่ผมรู้คือ (ผมรู้ไม่หมดนะครับ)
1. สัตว์จำพวก มด แมลง ตัวเล็กๆ มันเป็น วิญญาณของคนสร้างกรรมบางประเภท(ปัญญาและความรู้ของผมไม่สามารถระบุตายตัวได้แน่นอนว่าสร้างกรรมประเภทใดประเภทใด ) ที่มีเหตุปัจจัยให้หลังจากเสวยทุกข์ในนรกภูมิแล้ว วิญญาณถูกตีแตกสลายเป็นชิ้นๆ หลายร้อยชิ้น วิญญาณคน 1คน สามารถกลายเป็นพวกมด ได้ถึง 500 ตัว แต่เมื่อใช้กรรมหมดก็จะค่อยๆ กลับมารวมกันครับ

2. จิตวิญญาณของผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ละกายสังขารหลุดพ้น เข้าสู่กระแสนิพพาน แต่มีจิตที่จะช่วยเหลือมวลมนุษย์ที่ยังลุ่มหลงอยู่ จิตวิญญาณของท่านเหล่านี้สามารถแบ่งพระภาคออกได้ อนันต์ สามารถช่วยเหลือมวลมนุษย์ได้ ทั้งในรูปของเทพ และสามารถเลือกที่จะจุติมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ใหม่เพื่อโปรดสัตว์ต่อไปได้

ส่วนพระที่บอกว่าสัตว์ที่ยอมสละชิวีตของตนเองเพื่อประทังความหิวให้กับคนนี่ก็ใด้ผลบุญจนใด้เกิดเป็นมนุษย์ ผมไม่ขอแสดงความคิดเห็นครับ เพราะไม่อยากวิพากษ์คำกล่าวของท่าน แต่ผมคิดว่าพระเองก็ไม่ใช่ผู้รู้ทุกอย่าง พระที่ยังไม่บรรลุบางครั้งก็เทศน์จากความคิดส่วนตน พระบางรูปยังมีความอยากฉันท์เนื้อ ฉันท์โน่น ฉันท์นี่ อยู่เลย ส่วนพระพุทธองค์ พระอรหันต์ และผู้ที่บรรลุธรรม(แม้ไม่ได้อยู่ในพุทธศาสนาก็ตาม) ท่านเหล่านี้จะให้ธรรมะตามความเป็นจริงเพราะท่านเข้าถึงความจริงเหล่านั้นอย่างแจ่มแจ้งแล้ว

ไม่มีสัตว์ตัวไหนมันไม่ได้ยอมสละชีวิตให้เรากินหรอกครับ ไม่งั้นตอนมันจะถูกฆ่า คงไม่วิ่งหนี ไม่ดิ้น ไม่ร้องโหยหวน อย่างทรมาน หรอกครับ คนเราคิดเข้าข้างตนเองทั้งนั้น
สมมติ ลองวันหนึ่งเราไปเดินป่า แล้วเจอสิงโตที่หิวโหยจะเข้ามาฉีกเนื้อเรากิน เราจะยอมสละชีวิตให้มันกินไหม เราก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดใช่ไหมครับ สัตว์ก็เช่นเดียวกันครับ ลองเอาใจเขาใส่ใจเรา แล้วจะเกิดจิตเมตตาครับ

ไม่เชื่อลองดูนี่ครับ http://www.mindcyber.com/?p=3


Q:แล้วคุณคิดว่ามนุษย์มาจากไหนครับ ฝรั่งเขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างแต่ศาสนาพุทธไม่เคยบอกว่ามาจากไหน วันดีคืนดีก็โผล่ขึ้นมาแล้วยังทะลึ่งมาทำให้โลกร้อนอีก?

A: จากหนังสือ " ชุมนุมปาฐกถาธรรมทางวิทยุ เล่ม ๒ " ของท่าน พระพุทธทาส ภิกขุ
นักศึกษา นักปรัชญา หรือ ผู้มีปัญญา อะไรก็แล้วแต่จะเรียก เขาเจ้ากี้เจ้าการ
อ้างตัวเองเป็นผู้รู้ แล้วก็บัญญัติว่า ศาสนานั้นมีพระเจ้า , ศาสนานั้นไม่มีพระเจ้า , นี้มันล้วนแต่ตามความคิดนึกรู้สึกของเขาทั้งนั้น ไม่ตรงต่อความจริง เพราะเขายังไม่รู้ว่า
" พระเจ้าที่แท้จริงนั้น คืออะไร ? " ถือเอาตามตัวหนังสือบ้าง ถือเอาตามความนิยมสืบ ๆ กันมาบ้าง ก็มีพระเจ้าต่างกัน กระทั่งว่าไม่ใช่พระเจ้าไปเสียก็มี

ถ้าจะพูดกัน โดยคำพูด คำพูดคำนี้เป็นภาษาไทยใช้สำหรับเป็นคำแปล ให้แก่คำต่าง
ประเทศ ซึ่งเข้ามาสู่เมืองไทย แล้วไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ก็ยืมคำไทยไปใช้ ก็ได้คำว่าพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าไป เพราะว่าในเวลานั้น ในที่นั้น คำว่า " พระเจ้า " หรือ " พระผู้เป็นเจ้า " เป็นคำสูงสุด หมายถึงสิ่งสูงสุด แต่อย่าลืมว่า ในภาษาไทยเรานี้ คำว่า " พระผุ้เป้นเจ้า " นั้นมีความหมายชั่วยุคชั่วสมัย เช่นใน กฏหมาย เก่า ๆ ยุคนั้น ใช้คำ " พระผุ้เป็นเจ้า " หมายถึง พระภิกษุ เท่านั้น แม้จะเพิ่งบวชวันเดียว ก้เรียกว่า พระผุ้เป็นเจ้า ใน กฏหมายใช้คำอย่าง นั้นกับพระภิกษุ เช่นว่า พระผู้เป็นเจ้าสึกออกมาก็คงได้รับมรดก , พระผู้เป็นเจ้าถูกเกณฑ์ไปรบทัพจับศึก กลับมาก็ต้องมีสิทธิทุกอย่างทุกประการ อย่างนี้เป็นต้น ฉนั้น ถ้าถือเอาพระบวชใหม่เช่นนี้ เป็นพระผู้เป็นเจ้าแล้ว มันก็ตีกันยุ่งกับความหมายเดี๋ยวนี้ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าหรือพระเจ้านี้ เราหมายถึงสิ่งสูงสุด ผู้สูงสุด เพราะฉนั้นเราจะเอาคำพุด หรือเอาความนิยมสืบ ๆ กัน มาเป้นหลักนั้นไม่ได้ ต้องเอาความหมายที่แท้จริง สาระที่แท้จริง ของคำ ๆ นี้ หน้าที่ของสิ่งที่เรียกว่า " พระเจ้า " หรือคุณค่าอันสูงสุดของสิ่ง ๆ นี้ หรือสมรรถนะ อันสูงสุดของสิ่ง ๆ นี้ ว่า " พระเจ้านั้นคืออะไร "
แล้วเอามารวมกันหมดทุกศาสนาก็ยังได้ ที่เขาพูดถึงพระเจ้า

พระเจ้านั้น ต้องมีความหมาย หรือ ว่า คุณลักษณะเป็นปฐมเหตุ ; ปฐมเหตุ คือ เหตุแห่งสิ่งทั้งปวง เป็นที่ออกมา ไหลออกมาแห่ง สิ่งทั้งปวง นี้เรียกว่า ปฐมเหตุ
" อะไรเป็นปฐมเหตุให้สิ่งทั้งปวงออกมา สิ่งนั้น เรียกว่า พระเจ้า "
..................................................................................................

มนุษย์มาจากพระเจ้านั่นแหละครับ แต่เพราะนิยามคำว่าพระเจ้านี่เอง ที่ทำให้มนุษย์สับสน เพราะเรามัวแต่ไปตีความโดยปราศจากความเข้าใจอย่างแท้ แม้แต่ศาสนาที่มีพระเจ้ายังสู้รบ ฆ่าฟันกันได้เลย เพราะเขาไม่ได้เข้าถึงพระเจ้าอย่างแท้จริง ในศาสนาต่างๆอาจจะเรียกพระนามพระเจ้าต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น พระยะโฮวา, พระอัลเลาะห์, พระผู้เป็นเจ้า, องค์อมตะธรรม, องค์อนุตรธรรมเจ้า จะกล่าวพระนามอะไรหรีอไม่กล่าวเลยก็แล้วแต่ มันไม่ใช่สิ่งสำคัญ เรื่องพระเจ้ามันเป็นอจิณไตย ผมก็ยังด้อยปัญญาที่จะตอบ หลายเรื่องที่พิมพ์ในวันนี้จริงๆ ก็เป็นอจิณไตย ไม่ต้องพยายามที่อยากจะรู้มากเกินไปนัก พยายามปฎิบัติให้ดีที่สุดดีกว่า ถึงขณะที่เราบรรลุธรรมเราก็จะรู้เอง


ใครสงสัยใครรู้เรื่องการกำเนิดจิตวิญญาณ กำเนิดโลก ปฐมเหตุของทุกสิ่ง ลองไปอ่านหนังสือ "Conversations With God" โดย Neale Donald walsch ดูครับ มีืั้ทั้งหมด 3 เล่ม ปัจจุบันแปลเป็นไทยแล้ว 2เล่ม น่าจะเป็นหนังสือที่อธิบายเรื่องนี้ให้เราเข้าใจได้มากที่สุดแล้วครับ (ภายใต้ข้อจำกัดทางด้านภาษาของมนุษย์) เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้อ่าน และอ่านด้วยใจที่เป็นกลาง ปล่อยวาง แล้วจะได้อะไรอีกเยอะครับ ถ้าเป็นไปได้ก่อนอ่านก็ควรศึกษาธรรมะมาบ้างนะครับ จะได้ไม่คิดเข้าข้างตนเอง และควรจะอ่านให้ครบ 3 เล่มครับ

แนะนำหนังสือ "The Power Of Now" ชื่อไทย "พลังแห่งจิตปัจจุบัน" โดย Eckhart Tolle ด้วยครับ

วันนี้ถ้าแค่ทุกคนตระหนักว่า "พวกเราทั้งหมด (รวมทั้งพระเจ้า) คือหนึ่งเดียวกัน" โลกจะเกิดสันติแน่นอนครับ

ปล. ตัวผมขอไม่พิมพ์ต่อกระทู้นี้เพิ่มแล้วครับ เพราะมันอาจจะมีคำถามที่เป็นอจิณไตยมาอีกไม่สิ้นสุด ซึ่งตัวผมคงด้อยด้วยปัญญาที่จะตอบครับ

ขอบคุณที่อ่านครับ
++..Love Animals, Stop Eating Them..Please..++
19-03-2009, 22:35
Website Find Like Post Reply
hattaya111 Offline
Man of the Moon
******

Posts: 1,126
Likes Given: 35
Likes Received: 4 in 4 posts
Joined: 31 Mar 2009
Reputation: 54
#6
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
อนุโมทนาครับ ...... ดีใจที่มาตอบไปเเล้ว

ผมจะหาจังหวะหาข้อมูลจะตอบอยู่เช่นกัน เเต่ตอบได้ดีเเล้วครับ ...หุหุ (จิงผมขี้เกียจนอนอ้วนอยู่อู้ไปวันๆ 55555)

ถ้าจำไม่ผิด คนไทยมีอัตตราเฉลี่ยอ่านหนังสือต่อปี สัก 16 บรรทัด

การละเลี่ยงความยุ่งยาก เเสวงหาทางที่ง่าย คือธรรมชาติพื้นฐานคนต่างๆ

โลกนี้สนุกจริงๆ.....55555555

กล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่มั่นใจว่าดีครับ เจตนาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เเปรรูปเเสดงวิธีการตามเวลากันครับ

นับถือครับ เดินทางกันต่อไปน้องชาย
............. ;?? ?..............
*.:??*Parradee ...A Journey of Us - ?.:* *.:??*?;??

อย่าไปเอาอะไรกับนักเขียนนิยาย

20-03-2009, 14:46
Website Find Like Post Reply
poPPie Offline
APFC or NMFC
******

Posts: 2,826
Likes Given: 23
Likes Received: 9 in 5 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 57
#7
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
ถึงน้าหนึ่ง เจ้าของกระทู้ ควรจะดูนะครับ ได้แง่คิดอย่างไรช่วยวิจารย์สิ่งที่เห็นหน่อยครับ

http://www.mindcyber.com/?p=3

ดูให้เกิดจิตเมตตาครับ ไม่งั้นผมไม่ลงชื่อที่น้าหนึ่ง จะทำ Workshop นะ !
20-03-2009, 16:11
Find Like Post Reply
hattaya111 Offline
Man of the Moon
******

Posts: 1,126
Likes Given: 35
Likes Received: 4 in 4 posts
Joined: 31 Mar 2009
Reputation: 54
#8
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
(20-03-2009, 16:11)poPPie Wrote: ถึงน้าหนึ่ง เจ้าของกระทู้ ควรจะดูนะครับ ได้แง่คิดอย่างไรช่วยวิจารย์สิ่งที่เห็นหน่อยครับ

http://www.mindcyber.com/?p=3

ดูให้เกิดจิตเมตตาครับ ไม่งั้นผมไม่ลงชื่อที่น้าหนึ่ง จะทำ Workshop นะ !

ดูละ ....Big Grin น่าปาทับจาย


คนอื่นๆ เเวะมาดูเร๊วววว
............. ;?? ?..............
*.:??*Parradee ...A Journey of Us - ?.:* *.:??*?;??

อย่าไปเอาอะไรกับนักเขียนนิยาย

02-05-2009, 13:58
Website Find Like Post Reply


Forum Jump:


Users browsing this thread: 1 Guest(s)

Contact Us | NimitGuitar | Return to Top | | Lite (Archive) Mode | RSS Syndication