ก่อนอื่นผมขอขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความห่วงใย จากน้าๆในบ้านฟ้านี้ทุกคนเลยครับ และต้องขออภัยที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้ามาตอบครับ เนื่องจากรักษาตัวอยู่ ประกอบกับ คอมพ์ และ อินเตอร์เน็ตที่บ้านช่วงก่อนหน้านี้ไม่ค่อยปกติดี ต้องอาศัยน้าGridและน้าลูกแกะช่วยฝากบอก ตอนนี้ผมปลอดภัยดีแล้วครับ
ผมขอเล่าประสบการณ์ครั้งนี้ด้วยตนเองอีกครั้งครับ
วันที่เกิดเหตุ หลังจากผมไปช่วยงานเกี่ยวกับการบรรยายธรรมะชั้นพุทธาภิเษกเพื่อยกระดับจิตใจ และปลุกจิตใจให้รู้ตื่น ของพุทธสถานแห่งหนึ่งที่ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ. ตรัง พอจบงานวันแรก(จากทั้งหมด3วัน) ขณะนั่งรถ(เป็นรถกระบะไฮลักวีโก้ ตอนครึ่ง)เดินทางกลับบ้านตอนกลางคืน ระยะทางที่ต้องเดินทางประมาณ 40 กม. ระหว่างทางมีฝนตกมาบ้างเล็กน้อย สภาพถนนค่อนข้างมืด พอมาถึงจุดหนึ่งมันเป็นทางที่มีหลายช่องทาง มีสะพาน เส้นเลนถนนค่อนข้างสับสน ไม่ชัดเจน คนที่ขับรถ(เป็นป้าผมเอง และเป็นผู้ที่มาช่วยงานครั้งนี้ด้วย) ซึ่งเขาย้ายไปอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราชหลายสิบปีแล้ว ไม่คุ้นเส้นทาง วิ่งรถเข้าผิดเลน ไปวิ่งเลนขวาเลยเต็มๆ รถกระบะอีกคันก็วิ่งสวนมาตามปกติด้วยความเร็วสูง รถทั้งสองคันจึงชนประสานงานกันอย่างจัง สภาพหน้ารถทั้งสองคันเละ และ บุบเข้ามาหมดไม่เหลือเลย กระจกแตก เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่ารถคันของผมกระเด็นกระจากจุดที่เริ่มชนไปไกล ประมาณ 25 เมตร หลังจากมีผู้โทรแจ้งเหตุ ก็มีรถร่วมกตัญญูมาส่งคนเจ็บทั้งหมดไปรพ.ครับ คนเจ็บทั้งหมด 6 คน มีผมจมูกฉีกขาดถึงโพรงจมูกเป็นทางยาว หน้าผาก+ระหว่างคิ้ว+เหนือปากแตก เลือดเต็มหน้า เสื้อ และกระเป๋า แล้วก็เจ็บช่วงต้นคอ เจ็บหน้าอก มึนศีรษะจากการกระแทก อาเจียน ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ ก็มีแขนหัก ขาหัก ไหปลาร้าร้าว กระจกบาดหน้า บาดตัว แผลจากแรงอัด และแรงกระแทกครับ โชคดีมากๆ ที่ไม่มีใครเสียชีวิตเลย (ทั้งๆที่ 5 คนจาก 6 คน อายุประมาณ 50-70 ปี ทั้งนั้น มีผมที่อายุน้อยที่สุด และ5 คนจาก6 คนไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย (ตัวผมก็ไม่ได้คาดเนื่องจาก นั่งในแคป ไม่มีเข็มขัดนิรภัย)
ช่วงวินาทีที่เห็นไฟรถคันหน้าวิ่งเข้ามาใกล้ ผมก็ยังพอมีสติ สวดท่องคาถาระลึกถึงพระพุทธคุณ สิ่งศักดิ์สิทธ์ ได้แวบนึง แล้วก็ โครม!!!!!!!
ผมก็รักษาตัวที่ตรัง อยู่2คืน พยาบาลดูแลดีมาก แต่หมอไม่ค่อยเวิร์ค พบแต่หมอที่ดูแลเรื่องประสาทและสมอง แต่หมอที่ดูแลเรื่องแผลที่ใบหน้าไม่มาดูอาการผมเลย มีแต่พยาบาลมาทำแผล ผ่านไป2-3วัน พอเริ่มเดินได้แล้ว ผมจึงตัดสินใจให้ครอบครัวประสานบริษัทประกันเอไอเอ จองห้องที่รพ.เปาโลสะพานควาย และหอบเอาแผลใบหน้าที่ยังไม่ได้เย็บนั่งเครื่องบินย้ายมารักษาที่กรุงเทพ อย่างเร็วที่สุด เพราะกลัวแผลติดเชื้อ และอีกอย่างที่จ.ตรังไม่มีหมอศัลกรรมตกแต่งใบหน้า มาที่กรุงเทพน่าจะดีที่สุด มาถึงกรุงเทพบ่ายๆ ก็ตรงดิ่งไปรพ. เลย ตอน2 ทุ่มกว่าๆก็ได้เข้าห้องผ่าตัด โดนโปะยาสลบ มาฟื้นเอาประมาณ 5 ทุ่มกว่า ก็ทราบข่าวว่าการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี เข้ารูปเหมือนเดิม ก็นอนพักที่เปาโลอยู่อีก3-4 คืน จึงได้กลับบ้าน ตอนนี้ก็ตัดไหมเรียบร้อย ใช้ชีวิตตามปกติ (ขาดความมั่นใจไปบ้างเล็กน้อย) เรื่องรอยแผลผ่าตัดก็กำลังดูแลรักษาต่อเนื่อง คงใช้เวลาอีกสักพัก ครับ
โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่าจากสภาพตัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรง ผมไม่เสียชีวิตก็โชคดีมากที่สุดแล้ว แถมได้รักษาจนรูปจมูกกลับมาเหมือนเดิมไม่เสียโฉม ได้ก็ถือว่าโชคดี ถ้าหมอที่ตรังเย็บให้ตั้งแต่แรกๆ คงเสียโฉมจากการเย็บแน่นอนครับ (จากร้ายที่เค้าไม่เย็บให้กลายเป็นดี ทำให้เราอยากมารักษาที่กรุงเทพ โดยแพทย์เฉพาะทางจริงๆ)
เหตุการณ์ครั้งนี้มันประจวบเหมาะจะต้องเกิด จริงๆ ครับ เนื่องจาก ทั้งผม และญาติธรรมอีกคนอายุ70 ที่นั่งหน้าผม ตอนแรกไปขึ้นรถอีกคันหนึ่งแล้ว แต่ด้วยจำนวนคน และจุดหมายที่จะไปส่งคน ทำให้ผมต้องเปลี่ยนมานั่งรถของป้าผม และป้าผมเองก็เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพตอนเช้า มาเข้าบ้านที่นครศรีธรรมราช และขับรถมาที่จ.ตรังในวันเดียวกัน ถ้าเป็นทางพุทธก็เรียกว่าเป็นกรรมร่วมจากอดีตชาติ ต้องมาประสบเหตุพร้อมกัน คือแม้ในปัจจุบันชาติไม่เคยสร้างกรรมร่วมกัน แต่ต้องมาประสบเหตุพร้อมกัน โลกนี้ไม่มีอะไรที่เรียกว่าความบังเอิญ หรือ ความซวยครับ ทุกอย่างเราสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้นไม่ว่าดีหรือร้าย จะเร็วจะช้าก็ต้องตอบสนอง กฎของธรรมชาติยุติธรรมเสมอ ฉะนั้นแม้ชีวิตนี้ถ้าใครเป็นคนดีมาตลอด แต่ยังไปประสบเคราะห์ เหตุการณ์ร้ายๆ ทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ ให้เรามองอย่างลึกซึ้งด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ปล่อยวาง สงบ เราจะไม่กล่าวโทษใคร ซ้ำยังต้องขอบคุณธรรมชาติที่ให้เราได้ล้างเคราะห์กรรมไปอีกหนึ่งครั้ง นอกจากนั้นในประสบการณ์แห่งความทุกข์ ถ้าเรามีสติ แปรเปลี่ยนความทุกข์เป็นปัญญา จิตวิญญาณของเราก็จะเติบโตมากขึ้นด้วย
อีกเรื่องที่เป็นประสบการณ์ดีๆ ที่ตัวเองสัมผัสได้คือ หลังจากผมถูกส่งตัวมาถึงรพ.ด้วยอาการค่อนข้างหนัก ทั้งแผล ทั้งมึนงง และเจ็บจากแรงกระแทก โดนใส่บล็อกคอด้วย ลุกไม่ได้เลย นอนอย่างเดียว คืนนั้นตัวผมค่อนข้างทรมานมากที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาเลย กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมหลายๆ ท่าน ทั้งหมดที่ทราบข่าว ก็ช่วยกันสวดมนต์์ที่พุทธสถานกันตอนดึกคืนนั้นเลย ครอบครัวผมก็ร่วมทำบุญอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรคืนนั้นเลยเช่นกัน วันต่อมาตอนเช้า ความรู้สึกผมทั้งร่างกายและจิตใจต่างกับเมื่อคืนมาก มันรู้สึกโล่ง เบาสบาย ไม่ทรมาน คือมันค่อนข้างยากที่จะอธิบายครับ แต่มันรู้สึกได้จริงๆ ครับ
คนเฝ้าไข้เตียงข้างๆ ผมก็ยังทักเลยว่าทำไมวันนี้สภาพต่างกับเมื่อวานดูเป็นคนละคนเลย
แต่สำหรับผม ผมแน่ใจว่าเป็นอานิสงของบุญที่มาช่วยเยียวยาตรงนี้ครับ
อีกอย่างที่ค่อนข้างแปลกคือผมแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดกับแผลที่ใบหน้า โดยเฉพาะแผลที่จมูก (เหมือนที่น้า Dear เคยจมูกฉีกแล้วเจ็บมาก) คือจริงๆ จมูกผมฉีกขาดค่อนข้างรุนแรงมาก จนพ่อ-แม่ผมไม่กล้าบอก และกระซิบไม่ให้คนมาเยี่ยมพูดเด็ดขาด เพราะเขากลัวเราคิดมาก และผมก็นอนอยู่ไม่ได้เห็นแผลตัวเอง แต่ด้วยความที่ไม่เจ็บ จึงไม่กังวลอะไรเลย คิดว่าจมูกไม่เป็นอะไรมาก แม้แต่ตอนพยาบาลมาล้างแผลวันที่2-3 ก็ไม่เจ็บไม่แสบเลย มารู้จริงๆ ก็ตอนที่จะย้ายมากรุงเทพครับ ว่ามันจำเป็นต้องย้ายเพราะอะไร ไม่เจ็บแผลตั้งแต่เกิดเหตุ จนถึงผ่าตัด ซึ่งเป็นเวลาหลายวัน ก็แปลกดีครับ
ยังไงก็ต้องขอขอบคุณความห่วงใยจากน้าๆ ทุกท่านอีกครั้งครับ
ขอบใจ Grid และ หมอลูกแกะ ที่ช่วยส่งข่าว และคำแนะนำทางการแพทย์ดีๆ ครับ
ขอให้สมาชิกบ้านฟ้าทุกท่าน สุขภาพแข็งแรง ใช้รถ ใช้ถนน ด้วยความปลอดภัย
สร้างคุณงามความดี ทำจิตใจให้เป็นกุศล เปี่ยมด้วยความสุข สะอาด สงบ นะครับ