Thread Rating:
  • 1 Vote(s) - 1 Average
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
Author Message
Jazzy Metal Offline
Senior member
****

Posts: 309
Likes Given: 0
Likes Received: 1 in 1 posts
Joined: 17 Apr 2008
Reputation: 24
#5
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1.
(18-03-2009, 12:35)pood Wrote: แล้วซื้อกีต้าร์นี่บาปไหมครับ

-ถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วบาปเพราะสัตว์เป็นสิ่งที่มีชีวิต มีวิญญาณ ผมว่าต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันเพียงแต่มันพูดไม่ใด้และเดินไม่ใด้ มันคงไม่อยากโดนตัดมาทำกีต้าร์หรอก


-เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี่ผมอยากจะเชื่อครับเพราะอีกทางเลือกหนึ่งก็คือการดับสูญไปเลยซึ่งไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ผมไม่เคยคิดทำความดีเพื่อหวังผลบุญในชาติหน้าแต่ทำเพราะเมื่อทำแล้วมันมีความสุขในชาตินี้แหละครับ

-ตอนเด็กๆผมเคยถามพระว่าถ้าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องจริงแล้วทำไมประชากรโลกมันถึงเพิ่มขึ้นทุกวัน พวกวิญญาณใหม่นี่มาจากไหน
พระท่านบอกว่าก็มาจากพวกสัตว์ไง อย่างพวกสัตว์ที่ยอมสละชิวีตของตนเองเพื่อประทังความหิวให้กับคนนี่ก็ใด้ผลบุญจนใด้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าผมเลิกกินเนื้อสัตว์มันก็คงไม่ใด้ผุดใด้เกิดใช่ไหมครับ

แล้วคุณคิดว่ามนุษย์มาจากไหนครับ ฝรั่งเขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างแต่ศาสนาพุทธไม่เคยบอกว่ามาจากไหน วันดีคืนดีก็โผล่ขึ้นมาแล้วยังทะลึ่งมาทำให้โลกร้อนอีก

ขอบคุณพี่กฤษณ์ ครับ ที่ช่วยแชร์ประสบการณ์

ก่อนอื่นขอแจ้งกับน้าๆ ทุกท่านว่าที่การพิมพ์กระทู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาจะมายกย่องคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ หรือจะกล่าวตำหนิคนที่กินเนื้อสัตว์ (เพราะคนที่กินเนื้อมากมายที่เป็นคนดี และคนไม่กินเนื้อบางคนจิตใจโหดร้ายก็มี) ไม่ได้มีเจตนาที่จะเขียนกระทู้นี้เพื่อแสดงการอวดรู้ และไม่ได้เจตนาแม้แต่จะให้กระทู้นี้ต้องมาเปลี่ยนความคิดใครครับ ทุกคนมีทางเลือกในชีวิตและการปฏิบัติของตนเอง ผมแค่เห็นกระทู้ของพี่หนึ่งหัตยา รู้สึกว่าเป็นกระทู้ที่ดี จึงอยากจะขอร่วมแบ่งปันสิ่งที่ผมและคนอีกมากมายบนโลกนี้ ไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็คือ "การฆ่า" ผมเชื่อในกฏแห่งกรรม(Cause&Effect) และก็มีความห่วงใยเพื่อนพี่น้องร่วมโลกว่าอาจจะสร้างกรรมทางปากทุกวันโดยไม่ตั้งใจ แต่ผมทราบว่าประเด็นเรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเป็นเรื่องที่ต้องขึ้นกับวิจารณญาณส่วนบุคคล ดังนั้นถ้าท่านเห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นประโยชน์กับตัวท่านบ้างท่านก็ลองเก็บไปพิจารณาดู แต่ถ้าท่านในวันนี้เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่เป็นไรครับ

ผมก็เป็นปุถุชนคนด้อยปํญญาคนหนึ่ง ที่มีโอกาสรับรู้ ศึกษาและเห็นเรื่องราวหลายๆอย่างที่ไม่สามารถเล่าตรงนี้ได้ และไม่สามารถพิมพ์ออกมาให้ทุกท่านรับรู้เหมือนผมได้(ขออภัยที่ต้องบอกอย่างนี้ การรับรู้สิ่งเหล่านี้มันเป็นประสบการณ์จริงส่วนตัว ของผมและคนใกล้ตัวครับ ไม่เจอกับตาไม่เจอกับตัวอาจจะไม่เชื่อ) ซึ่งการรับรู้เหล่านั้นทำให้ผมรู้ว่า สัตว์มันเวียนว่ายตายเกิดจากคนจริงๆ และมันไม่ได้เต็มใจสละชีวิตให้คนกิน คนต่างหากที่ไปใช้อำนาจ กำลังของตนไปฆ่าเขา

ผมขอร่วมแสดงความเห็นในกรณีของพี่กฤษณ์นะครับ ตามแต่ปัญญา ความรู้ การศึกษาธรรม อันด้อยของผม

Q:ถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วบาปเพราะสัตว์เป็นสิ่งที่มีชีวิต มีวิญญาณ ผมว่าต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันเพียงแต่มันพูดไม่ใด้และเดินไม่ใด้ มันคงไม่อยากโดนตัดมาทำกีต้าร์หรอก?

A: ประเด็นนี้ดีมากครับ พืชผักทั้งหลายก็เป็นของมีชีวิต กินแล้วมิเป็นบาปด้วยหรือ?

พืชผักเป็นสิ่งมีชีวิตก็จริงอยู่แต่มีองค์ประกอบชีวิตที่ต่างไปจากมนุษย์และสัตว์ กล่าวคือ

มนุษย์มีองค์ประกอบของชีวิต 3 ส่วนคือ
1. จิตญาณแห่งความรู้เหตุและผล คือ วิจารณญาณ
2. จิตญาณแห่งการต่อสู้ดิ้นรนหนีภัย คือ สัญชาติญาณ
3. พลังแห่งการเจริญเติบโต คือ พลังชีวิต
สัตว์ทั้งหลายมีองค์ประกอบของชีวิต 2 ส่วนคือ 1.จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ดิ้นรน หลบหลีกหนีภัย คือ สัญชาติญาณ 2. พลังแห่งการเจริญเติบโต คือ พลังชีวิต

แต่พืชมีองค์ประกอบของชีวิตเพียงหนึ่งส่วนคือ พืชจะมีพลังชีวิต คือ พลังแห่งการเจริญเติบโตเท่านั้น ไม่มีเวทนาความรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ไม่มีสัญญาหรือความจำได้หมายรู้ การกินพืชผักผลไม้จึงไม่มีเหตุปัจจัยก่อให้เกิดบาปเวร การกินพืชผักผลไม้ไม่เป็นการทำลายล้างโดยธรรมชาติพืชผักผลไม้จะหมุนเวียนผลิ ดอกออกผลให้ทุกชีวิตได้อาศัยรับประทานอยู่ตลอด แม้ไม่มีผู้ใดเก็บมารับประทานผลก็จะหลุดล่วงตกหล่นกลับเป็นปุ๋ยบำรุงต้นต่อ ไป พืชผักผลไม้อาศัยการกินของมนุษย์และสัตว์เพื่อช่วยขยายพันธุ์ ยิ่งบริโภคก็ยิ่งแพร่พันธ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ธรรมชาติสร้างให้ต้นไม้ไม่โต้ตอบไม่ทำร้ายใครไม่วิ่งหนี แต่มีพลังชีวิตสูงเป็นพิเศษสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยน แปลงเพื่อการดำรงอยู่
ดังนั้นพืชผักผลไม้จึงเป็นอาหารที่ธรรมชาติมอบให้แก่ทุกชีวิตบนโลก พืชพรรณไม้ทั้งหลายก็เฉกเช่นเดียวกันกับธรรมที่ให้ความสุขใจและความร่มเย็น แก่ชีวิตโดยแท้

ตรงนี้ผมได้ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากหนังสือ พระประทีปแห่งเมตตา และอาหารสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม

ส่วนการตัด ทำลายต้นไม้ ให้ตายลง เพื่อความสนุกสนาน หรือการตัดอย่างพร่ำเพรื่อ หรือการลักลอบตัดเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมของโลก ไม่คำนึงถึงเพื่อนมนุษย์หรือสัตว์ที่ต้องอาศัยประโยชน์จากต้นไม้ ทำให้ผู้อื่นลำบาก อย่างนี้มันไม่ดีตั้งแต่คิดแล้วครับ
โลกร้อนก็เป็นผลกรรมจาก"จิตสำนึกโดยรวม"ของมนุษย์ครับ เพราะเราทุกคนที่รู้ รัฐบาลที่รู้ ก็ยังปล่อยให้มีการตัดกันต่อไป ทุกคนก็ต้องรับผลร่วมกันครับ อย่าคิดโวยวายว่าตัวเองไม่ได้ตัดแล้วทำไมต้องรับผลตรงนี้ ฉะนั้นการเห็นคนอื่นทำไม่ดีแล้วเราไม่สนใจทั้งๆ ที่อาจจะยับยั้งได้ สุดท้ายผลนั้นมันก็อาจจะกลับมาหาเราได้ครับ

ส่วนเรื่องธุรกิจการตัดไม้สำหรับมาทำกีตาร์พี่กฤษณ์และน้าท่านอื่นน่าจะทราบตื้นลึกหนาบางดีกว่าผมครับ ยังไงน้ากฤษณ์ช่วยเล่าให้ฟังด้วยครับ ผมก็อยากทราบเหมือนกันครับ


Q:เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี่ผมอยากจะเชื่อครับเพราะอีกทางเลือกหนึ่งก็คือการดับสูญไปเลยซึ่งไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ผมไม่เคยคิดทำความดีเพื่อหวังผลบุญในชาติหน้าแต่ทำเพราะเมื่อทำแล้วมันมีความสุขในชาตินี้แหละครับ

A: ผมว่าคนที่คิดแบบน้ากฤษณ์ได้ จะสบายใจมากครับ การทำบุญหวังผล พระท่านว่าไม่ควรอย่างยิ่งครับ เพราะใจมันจะไม่เกิดกุศลจริง มันทำด้วยความคาดหวังผลประโยชน์
การได้ทำบุญแล้วมีความสุข(กุศล)ในใจ ณ ปัจจุบันขณะที่ทำนั่นถูกต้องที่สุดครับ


Q:ตอนเด็กๆผมเคยถามพระว่าถ้าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องจริงแล้วทำไมประชากรโลกมันถึงเพิ่มขึ้นทุกวัน พวกวิญญาณใหม่นี่มาจากไหน
พระท่านบอกว่าก็มาจากพวกสัตว์ไง อย่างพวกสัตว์ที่ยอมสละชิวีตของตนเองเพื่อประทังความหิวให้กับคนนี่ก็ใด้ผลบุญจนใด้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าผมเลิกกินเนื้อสัตว์มันก็คงไม่ใด้ผุดใด้เกิดใช่ไหมครับ
?

A:จริงๆ จิตวิญญาณโดยทั่วไปมันไม่ได้เพิ่ม-ลดหรอก (แต่อาจมีการเพิ่มได้ในบางกรณีพิเศษ ซึ่งจะกล่าวถึงภายหลัง) แต่มนุษย์ไม่อาจสำรวจจำนวนได้ทั้งหมด เพราะการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้มีแค่ภพภูมิ ของมนุษย์และสัตว์ มันยังมีภพภูมิของพรหมต่างๆ เช่น เทวดา เทพชั้นพรหมต่างๆ คนสมัยแรกๆ ส่วนมากจิตใจยังใสบริสุทธิ์ สร้างสิ่งดีๆทำกรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว ถ้ายังไม่บรรลุถึงจิตเดิมแท้ หรือยังไม่หลุดพ้นการเวียนว่ายในวัฏสงสาร ก็ได้ไปจุติในชั้นพรหม เป็นเทวดา ถ้าผลบุญมากก็เสวยผลบุญนาน เมื่อหมด จึงตกมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วไปสร้างเหตุแห่งกรรมที่ไม่ดีก็อาจจะต้องไปเป็น เปรต สัตว์ นรก ฯลฯ เสวยทุกข์ จนหมดกรรม แล้วอาจจะต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบนโลกต่อไป สิ่งเหล่านี้คือวัฏสงสาร ถ้าบนโลกก็อาจสำรวจจำนวนได้ แล้วภพภูมิอื่นที่ไม่ใช่บนโลกละ เราก็ไม่สำรวจได้ แล้ว ระยะเวลาของแต่ละภพภูมิก็ไม่เท่ากันด้วย สมมติ เช่น 1วัน บนสวรรค์ อาจจะ = 400ปี บนโลกมนุษย์(สมมตินะครับไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอน)
สรุปแล้วเราจึงไม่สามารถสำรวจจำนวนดวงวิญญาณได้ทั้งหมดหรอกครับ

การเพิ่มของดวงวิญญาณ เท่าที่ผมรู้คือ (ผมรู้ไม่หมดนะครับ)
1. สัตว์จำพวก มด แมลง ตัวเล็กๆ มันเป็น วิญญาณของคนสร้างกรรมบางประเภท(ปัญญาและความรู้ของผมไม่สามารถระบุตายตัวได้แน่นอนว่าสร้างกรรมประเภทใดประเภทใด ) ที่มีเหตุปัจจัยให้หลังจากเสวยทุกข์ในนรกภูมิแล้ว วิญญาณถูกตีแตกสลายเป็นชิ้นๆ หลายร้อยชิ้น วิญญาณคน 1คน สามารถกลายเป็นพวกมด ได้ถึง 500 ตัว แต่เมื่อใช้กรรมหมดก็จะค่อยๆ กลับมารวมกันครับ

2. จิตวิญญาณของผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ละกายสังขารหลุดพ้น เข้าสู่กระแสนิพพาน แต่มีจิตที่จะช่วยเหลือมวลมนุษย์ที่ยังลุ่มหลงอยู่ จิตวิญญาณของท่านเหล่านี้สามารถแบ่งพระภาคออกได้ อนันต์ สามารถช่วยเหลือมวลมนุษย์ได้ ทั้งในรูปของเทพ และสามารถเลือกที่จะจุติมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ใหม่เพื่อโปรดสัตว์ต่อไปได้

ส่วนพระที่บอกว่าสัตว์ที่ยอมสละชิวีตของตนเองเพื่อประทังความหิวให้กับคนนี่ก็ใด้ผลบุญจนใด้เกิดเป็นมนุษย์ ผมไม่ขอแสดงความคิดเห็นครับ เพราะไม่อยากวิพากษ์คำกล่าวของท่าน แต่ผมคิดว่าพระเองก็ไม่ใช่ผู้รู้ทุกอย่าง พระที่ยังไม่บรรลุบางครั้งก็เทศน์จากความคิดส่วนตน พระบางรูปยังมีความอยากฉันท์เนื้อ ฉันท์โน่น ฉันท์นี่ อยู่เลย ส่วนพระพุทธองค์ พระอรหันต์ และผู้ที่บรรลุธรรม(แม้ไม่ได้อยู่ในพุทธศาสนาก็ตาม) ท่านเหล่านี้จะให้ธรรมะตามความเป็นจริงเพราะท่านเข้าถึงความจริงเหล่านั้นอย่างแจ่มแจ้งแล้ว

ไม่มีสัตว์ตัวไหนมันไม่ได้ยอมสละชีวิตให้เรากินหรอกครับ ไม่งั้นตอนมันจะถูกฆ่า คงไม่วิ่งหนี ไม่ดิ้น ไม่ร้องโหยหวน อย่างทรมาน หรอกครับ คนเราคิดเข้าข้างตนเองทั้งนั้น
สมมติ ลองวันหนึ่งเราไปเดินป่า แล้วเจอสิงโตที่หิวโหยจะเข้ามาฉีกเนื้อเรากิน เราจะยอมสละชีวิตให้มันกินไหม เราก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดใช่ไหมครับ สัตว์ก็เช่นเดียวกันครับ ลองเอาใจเขาใส่ใจเรา แล้วจะเกิดจิตเมตตาครับ

ไม่เชื่อลองดูนี่ครับ http://www.mindcyber.com/?p=3


Q:แล้วคุณคิดว่ามนุษย์มาจากไหนครับ ฝรั่งเขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างแต่ศาสนาพุทธไม่เคยบอกว่ามาจากไหน วันดีคืนดีก็โผล่ขึ้นมาแล้วยังทะลึ่งมาทำให้โลกร้อนอีก?

A: จากหนังสือ " ชุมนุมปาฐกถาธรรมทางวิทยุ เล่ม ๒ " ของท่าน พระพุทธทาส ภิกขุ
นักศึกษา นักปรัชญา หรือ ผู้มีปัญญา อะไรก็แล้วแต่จะเรียก เขาเจ้ากี้เจ้าการ
อ้างตัวเองเป็นผู้รู้ แล้วก็บัญญัติว่า ศาสนานั้นมีพระเจ้า , ศาสนานั้นไม่มีพระเจ้า , นี้มันล้วนแต่ตามความคิดนึกรู้สึกของเขาทั้งนั้น ไม่ตรงต่อความจริง เพราะเขายังไม่รู้ว่า
" พระเจ้าที่แท้จริงนั้น คืออะไร ? " ถือเอาตามตัวหนังสือบ้าง ถือเอาตามความนิยมสืบ ๆ กันมาบ้าง ก็มีพระเจ้าต่างกัน กระทั่งว่าไม่ใช่พระเจ้าไปเสียก็มี

ถ้าจะพูดกัน โดยคำพูด คำพูดคำนี้เป็นภาษาไทยใช้สำหรับเป็นคำแปล ให้แก่คำต่าง
ประเทศ ซึ่งเข้ามาสู่เมืองไทย แล้วไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ก็ยืมคำไทยไปใช้ ก็ได้คำว่าพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าไป เพราะว่าในเวลานั้น ในที่นั้น คำว่า " พระเจ้า " หรือ " พระผู้เป็นเจ้า " เป็นคำสูงสุด หมายถึงสิ่งสูงสุด แต่อย่าลืมว่า ในภาษาไทยเรานี้ คำว่า " พระผุ้เป้นเจ้า " นั้นมีความหมายชั่วยุคชั่วสมัย เช่นใน กฏหมาย เก่า ๆ ยุคนั้น ใช้คำ " พระผุ้เป็นเจ้า " หมายถึง พระภิกษุ เท่านั้น แม้จะเพิ่งบวชวันเดียว ก้เรียกว่า พระผุ้เป็นเจ้า ใน กฏหมายใช้คำอย่าง นั้นกับพระภิกษุ เช่นว่า พระผู้เป็นเจ้าสึกออกมาก็คงได้รับมรดก , พระผู้เป็นเจ้าถูกเกณฑ์ไปรบทัพจับศึก กลับมาก็ต้องมีสิทธิทุกอย่างทุกประการ อย่างนี้เป็นต้น ฉนั้น ถ้าถือเอาพระบวชใหม่เช่นนี้ เป็นพระผู้เป็นเจ้าแล้ว มันก็ตีกันยุ่งกับความหมายเดี๋ยวนี้ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าหรือพระเจ้านี้ เราหมายถึงสิ่งสูงสุด ผู้สูงสุด เพราะฉนั้นเราจะเอาคำพุด หรือเอาความนิยมสืบ ๆ กัน มาเป้นหลักนั้นไม่ได้ ต้องเอาความหมายที่แท้จริง สาระที่แท้จริง ของคำ ๆ นี้ หน้าที่ของสิ่งที่เรียกว่า " พระเจ้า " หรือคุณค่าอันสูงสุดของสิ่ง ๆ นี้ หรือสมรรถนะ อันสูงสุดของสิ่ง ๆ นี้ ว่า " พระเจ้านั้นคืออะไร "
แล้วเอามารวมกันหมดทุกศาสนาก็ยังได้ ที่เขาพูดถึงพระเจ้า

พระเจ้านั้น ต้องมีความหมาย หรือ ว่า คุณลักษณะเป็นปฐมเหตุ ; ปฐมเหตุ คือ เหตุแห่งสิ่งทั้งปวง เป็นที่ออกมา ไหลออกมาแห่ง สิ่งทั้งปวง นี้เรียกว่า ปฐมเหตุ
" อะไรเป็นปฐมเหตุให้สิ่งทั้งปวงออกมา สิ่งนั้น เรียกว่า พระเจ้า "
..................................................................................................

มนุษย์มาจากพระเจ้านั่นแหละครับ แต่เพราะนิยามคำว่าพระเจ้านี่เอง ที่ทำให้มนุษย์สับสน เพราะเรามัวแต่ไปตีความโดยปราศจากความเข้าใจอย่างแท้ แม้แต่ศาสนาที่มีพระเจ้ายังสู้รบ ฆ่าฟันกันได้เลย เพราะเขาไม่ได้เข้าถึงพระเจ้าอย่างแท้จริง ในศาสนาต่างๆอาจจะเรียกพระนามพระเจ้าต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น พระยะโฮวา, พระอัลเลาะห์, พระผู้เป็นเจ้า, องค์อมตะธรรม, องค์อนุตรธรรมเจ้า จะกล่าวพระนามอะไรหรีอไม่กล่าวเลยก็แล้วแต่ มันไม่ใช่สิ่งสำคัญ เรื่องพระเจ้ามันเป็นอจิณไตย ผมก็ยังด้อยปัญญาที่จะตอบ หลายเรื่องที่พิมพ์ในวันนี้จริงๆ ก็เป็นอจิณไตย ไม่ต้องพยายามที่อยากจะรู้มากเกินไปนัก พยายามปฎิบัติให้ดีที่สุดดีกว่า ถึงขณะที่เราบรรลุธรรมเราก็จะรู้เอง


ใครสงสัยใครรู้เรื่องการกำเนิดจิตวิญญาณ กำเนิดโลก ปฐมเหตุของทุกสิ่ง ลองไปอ่านหนังสือ "Conversations With God" โดย Neale Donald walsch ดูครับ มีืั้ทั้งหมด 3 เล่ม ปัจจุบันแปลเป็นไทยแล้ว 2เล่ม น่าจะเป็นหนังสือที่อธิบายเรื่องนี้ให้เราเข้าใจได้มากที่สุดแล้วครับ (ภายใต้ข้อจำกัดทางด้านภาษาของมนุษย์) เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้อ่าน และอ่านด้วยใจที่เป็นกลาง ปล่อยวาง แล้วจะได้อะไรอีกเยอะครับ ถ้าเป็นไปได้ก่อนอ่านก็ควรศึกษาธรรมะมาบ้างนะครับ จะได้ไม่คิดเข้าข้างตนเอง และควรจะอ่านให้ครบ 3 เล่มครับ

แนะนำหนังสือ "The Power Of Now" ชื่อไทย "พลังแห่งจิตปัจจุบัน" โดย Eckhart Tolle ด้วยครับ

วันนี้ถ้าแค่ทุกคนตระหนักว่า "พวกเราทั้งหมด (รวมทั้งพระเจ้า) คือหนึ่งเดียวกัน" โลกจะเกิดสันติแน่นอนครับ

ปล. ตัวผมขอไม่พิมพ์ต่อกระทู้นี้เพิ่มแล้วครับ เพราะมันอาจจะมีคำถามที่เป็นอจิณไตยมาอีกไม่สิ้นสุด ซึ่งตัวผมคงด้อยด้วยปัญญาที่จะตอบครับ

ขอบคุณที่อ่านครับ
++..Love Animals, Stop Eating Them..Please..++
19-03-2009, 22:35
Website Find Like Post Reply


Messages In This Thread
RE: พระอาจารย์เล่าว่า....ตอนที่ 1. - by Jazzy Metal - 19-03-2009, 22:35

Forum Jump:


Users browsing this thread: 1 Guest(s)

Contact Us | NimitGuitar | Return to Top | | Lite (Archive) Mode | RSS Syndication