NimitGuitar webboard
Another dust in the wind - Printable Version

+- NimitGuitar webboard (http://www.NimitGuitar.com/mybb)
+-- Forum: All solid webboard (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=1)
+--- Forum: พูดคุยสนทนาทั่วไป (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=2)
+--- Thread: Another dust in the wind (/showthread.php?tid=11924)

Pages: 1 2


Another dust in the wind - napman - 21-11-2011



อ่านแล้ว เศร้าจัง

ชีวิตคน สั้นครับ... ทำอะไรก็รีบทำครับ? เห็นด้วย จริง จริง ชีวิตคน สั้นนัก อยากทำอะไรก็รีบทำ

เที่ยวบินสุดท้ายของ ?ดอกเตอร์มนัญยา ตันติวิวัฒน์? เธอคือแบบอย่างของนักเรียนไทยที่มุ่งมั่น อดทน ไม่ย่อท้อ จนประสบความสำเร็จ

?ดอกเตอร์มนัญยา ตันติวิวัฒน์? สร้างความสำเร็จให้ตัวเองจนเที่ยวบินสุดท้าย และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในฐานะนักเรียนทุนอย่างสมเกียรติ...คุณค่าเธอควรมีมากกว่านี้?
เธอ...?น้ำมนต์? --- มนัญยา ตันติวิวัฒน์ ฉายแววอัจฉริยะอย่างไม่น่าเชื่อตั้งแต่วัยเด็ก ได้รับเหรียญทองนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ติดต่อกันตั้งแต่ชั้น ป.1 กระทั่งจบ ม.6
เธอ...คว้ารางวัลแห่งความสำเร็จไปคนเดียวอย่างน่าทึ่งในช่วงการเรียน 12 ปี
?น้ำมนต์? สอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เป็นที่ 2 มีทุนสนับสนุนทั้ง 4 ปี ขณะเดียวกันก็สอบได้ทุนรัฐบาลไทยโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก ณ สหรัฐอเมริกาด้วย
ในปี 2543 เธอเลือกไปอเมริกา เข้าเรียนปริญญาตรีคณะฟิสิกส์ที่ Dartmouth College ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่มีชื่ออันดับต้นๆ ในดินแดนมะกัน กระทั่งจบคณะฟิสิกส์ และได้รับการคัดเลือกเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่ The University of California Santa Barbara (UCSB)
ระหว่างนี้เธอสร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยด้วยการเป็นตัวแทนไปนำเสนองานวิจัย ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ กลับมาจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยอาจารย์ ระหว่างเรียนเธอคอยเป็นพี่เลี้ยงช่วยดูแลน้องๆ นักเรียนทุนไทยเป็นประจำ นักเรียนไทยที่นั่นกว่า 600 คน จึงรู้จักมักคุ้น ?พี่น้ำมนต์? เป็นอย่างดี
มนัญยา...เข้าศึกษาต่อด้านฟิสิกส์สาขาถนัดในระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิมอีก 6 ปี ระหว่างนั้นในปี 2551 เธอเริ่มทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม จึงเข้ารับการรักษามาเป็นระยะ ทั้งการฉายแสง คีโม กระทั่ง 1 ปีผ่านไป ได้รับการผ่าตัดจนอาการอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ทุกคนดีใจมากที่มนัญยาคนเดิมจะได้กลับมามุ่งมั่นทุ่มเทกับการเรียนของเธอ และในปีเดียวกันนั้นเธอก็ได้รับรางวัล Materials Research Lab Diversity Fellowship
?ถ้าเป็นคนอื่นคงเลิกเรียนแล้วมารักษาตัวที่บ้าน? คุณพ่อมนูญศักดิ์ ตันติวัฒน์ เล่า
สำหรับน้ำมนต์ไม่ใช่ --- เพื่อนๆ และอาจารย์ในคณะ เล่าว่า เธอเป็นคนไม่ยอมแพ้ แม้จะป่วยแต่ยังขยันขันแข็งและอดทนมาก --- จากนั้นไม่นานเธอเข้าเอกซเรย์ร่างกายอีกครั้ง พบว่ามะเร็งลามไปที่ปอด อดทนมาก ยังไงก็จะเรียนให้จบ???น้ำมนต์ไม่เคยท้อ คุณพ่อ ย้ำ

น้ำมนต์

ระหว่างอาการป่วยในระยะที่ 2 เธอยังพาเพื่อนๆ มาฝึกเรียนขี่ช้างที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างที่ลำปาง ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของพ่อ กลับไปอเมริกาอีกครั้ง อาจารย์แจ้งว่าเธอสามารถขอจบปริญญาเอกได้ภายในเดือน มิ.ย. 2553 แต่เธอก็ยังไม่ยอม เพราะต้องการทำงานวิจัยให้สมบูรณ์และออกมาดีที่สุดก่อน งานวิจัยชิ้นที่ว่าชื่อ Structure-Function-Property Relationships In Solution-Processed Diketopyrrolopyrrole- Based Materials
ขณะที่เธอมุ่งมั่น มะเร็งร้ายก็ไม่ปรานี เริ่มลามไปยังตับและสมอง ผู้เป็นพ่อแม่และครอบครัวได้แต่ทำใจว่าลูกสาวว่าที่ดอกเตอร์คงต้องจากไปในเวลาอีกไม่นาน มนัญยาก็รู้ตัวเองดีเช่นกัน ช่วงเดือน พ.ย. 2553 เธอจึงบินกลับกรุงเทพฯ มาพักผ่อนนอนเที่ยวอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะเดินทางไปเยี่ยมและอำลาบรรดาเพื่อนๆ ในยุโรป รวมถึงอาจารย์สมัยเรียนปริญญาตรี
...ต่อมาเธอก็หายใจได้แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ด้วยปอดถูกทำลายไปมากแล้ว
เธอใช้เวลาเขียนงานวิจัยบทสุดท้าย ซึ่งเป็นคำประกาศเกียรติคุณ แสดงการขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลืองานวิจัยขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล Santa Barbara มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต คุณพ่อมนูญศักดิ์จึงเดินทางไปอเมริกาในวันที่ 5 เม.ย. เพื่อรับลูกสาวกลับบ้าน หวังเพียงให้ลูกได้เดินทางสู่อีกภพอย่างสงบ ณ บ้านเกิด
คุณพ่อได้จองตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยให้ล่วงหน้า มีกำหนดเดินทางกลับวันที่ 12 เม.ย. ก่อนเดินทาง 1 วัน เพื่อนๆ นักเรียนไทยช่วยเตรียมการวางแผนการเดินทางกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ป้องกันความผิดพลาดทุกอย่าง อาทิ เคลียร์ค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล ยกเลิกการเช่าอพาร์ตเมนต์ ยกเลิกโทรศัพท์ ปิดบัญชีธนาคาร ตลอดถึงการเช่ารถเตรียมเดินทาง ฯลฯ
แม้จะเป็นภารกิจการจากลาอย่างไม่มีวันเจอะเจอกันอีก แต่ทุกคนก็ช่วยด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ทั้งหมอ พยาบาลเข้าเยี่ยมอำลามนัญยาไม่ขาดสาย จนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องจัดห้องพิเศษให้เป็นการเฉพาะ
ผลการตรวจสุขภาพครั้งสุดท้าย น้ำมนต์อยู่ในอาการที่ดีมาก แพทย์ประจำตัวจึงออกหนังสือ Fit to Fly ให้ --- วันนั้นเธอบอกกับพ่อว่า The sooner the better
วันที่ 14 เม.ย. ศาสตราจารย์อลัน ฮีเกอร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ได้อนุมัติปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ให้ ?ดอกเตอร์มนัญยา? อย่างเป็นทางการ ขณะที่เจ้าตัวรู้ดีว่าคงมีลมหายใจได้อีกไม่นาน จึงแจ้งให้คุณแม่และน้องชายเดินทางมาเจอหน้าเป็นครั้งสุดท้าย
วันที่ 17 เม.ย. น้ำมนต์คุยกับพ่อ แม่ และน้องชายได้น้อยลง กระทั่งอยู่ในอาการนิ่งเงียบ
...บ่ายวันถัดมา 18 เม.ย. 2554 ดอกเตอร์มนัญยาก็จากไปอย่างสงบด้วยวัยเพียง 28 ปี
วันที่ 20 เม.ย. ทาง UCSB จัดพิธีมอบปริญญาให้ ?ดอกเตอร์มนัญญา? อย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ มีนักศึกษาไทย เพื่อนร่วมคณะ คณบดี และศาสตราจารย์ผู้อนุมัติปริญญาเข้าร่วมเชิดชูเกียรติ พร้อมประกาศจัดตั้งกองทุน ?มนัญยา ตันติวิวัฒน์? ขึ้นในมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงมนัญยา ในฐานะนักศึกษาที่อุทิศตนให้กับงานและทำหน้าที่เป็นมากกว่านักศึกษา รวมถึงจะเป็นกองทุนการศึกษาแก่นักศึกษารุ่นต่อๆ ไปด้วย คงไม่มีบรรยากาศการรับปริญญาของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ครั้งไหนจะเศร้าสลดได้เท่าครั้งนี้อีกแล้ว --- เจ้าของปริญญาอันน่าภาคภูมิ...มีเพียงภาพถ่ายเข้าร่วมพิธี!!!
ศาสตราจารย์ฮีเกอร์ รวมถึงผู้แทนดูแลนักเรียนไทยจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ขึ้นกล่าวยกย่องบัณฑิตแห่งปีอย่างยิ่งใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ --- เธอคือแบบอย่างของนักเรียนไทยที่มุ่งมั่น อดทน ไม่ย่อท้อ จนประสบความสำเร็จ
?ผมร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้ม เพราะวันนั้นลูกไม่มีโอกาสอยู่ในงานรับปริญญา? คุณพ่อ เล่า
เขา...
ในวันที่กำหนดว่าจะเดินทางกลับเมืองไทย สายการบินที่เธอโดยสารแจ้งครอบครัวตันติวิวัฒน์ว่าไม่สามารถให้ผู้ป่วยขึ้นเครื่องได้ โดยอ้างเหตุผลทางการแพทย์ ทำให้มนัญยาถึงกับมีอาการช็อกอย่างเห็นได้ชัด--- เธอผิดหวังมาก
?ทำไมมาบอกเราเอาวันจะเดินทาง? คุณพ่อมนูญศักดิ์ บอก
ล่วงเลยไปถึงวันที่ 22 เม.ย. สายการบินดังกล่าวจึงอนุญาตให้เธอและครอบครัวเดินทางกลับประเทศไทย ในเที่ยวบินเดิม เพียงแต่ร่างของดอกเตอร์มนัญยาต้องไปอยู่ใต้ท้องเครื่อง ยังโชคดีที่พนักงานต้อนรับจัดที่นั่งให้คุณพ่อ พอจะวางภาพถ่ายของเธอไว้ข้างๆ (ทั้งที่น่าจะเป็นที่นั่งของดอกเตอร์มนัญยาขณะยังมีชีวิต) พร้อมกับบริการไวน์ขาวเพื่อการเฉลิมฉลองปริญญาอันสูงค่ายิ่งตามคำขอของพ่อ
ก่อนและหลังพิธีพระราชทานเพลิงศพไปเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2554 ครอบครัวตันติวิวัฒน์ แสดงความขอบคุณต่อผู้ให้การ|ช่วยเหลือในการนำศพ ?ดอกเตอร์มนัญยา ตันติวิวัฒน์? กลับบ้าน ขณะเดียวกันได้ร้องขอความเป็นธรรมไปยังผู้บริหารสายการบินแห่งนั้นเพื่ออธิบายถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติต่อความประสงค์ของผู้ป่วย เพื่อไม่ต้องประทับไว้ซึ่งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวใดอีกในวันหน้า
?ดอกเตอร์มนัญยา ตันติวิวัฒน์? สร้างความสำเร็จให้ตัวเองจนเที่ยวบินสุดท้าย และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในฐานะนักเรียนทุนอย่างสมเกียรติ
...คุณค่าเธอควรมีมากกว่านี้?
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา


RE: Another dust in the wind - pood - 21-11-2011

ผมไม่เคยพบ ดร.มนัญญาแต่รู้จักกับคุณพ่อของเธอดีตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่ง ผอ.องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และตอนนี้ก็ยังทำงานด้วยกันในด้านพืชพลังงานเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าและทำเป็น biomethane เพื่อทดแทนก้าซธรรมชาติ

ตลอดเวลาที่ร่วมงานกันคุณพ่อของเธอก็ไม่เคยบอกว่าลูกสาวไม่สบาย มาทราบก็ตอนที่เธออาการหนักแล้วครับ ผมขอเคารพในความเข้มแข็งของตัวเธอและครอบครัวและขอให้เธอให้เธอนอนหลับฝันดีตลอดไป


RE: Another dust in the wind - beetle - 21-11-2011

นับถือเลยครับ เก่งมากครับ เข้มแข็งมาก เป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตได้ดีครับ ถึงแม้ตัวเองจะป่วยหนัก แต่ต้องการทำสิ่งที่คั่งค้างให้เสร็จก่อนจะจากไป ขอให้ ดร.มนัญญา หลับให้สบายครับ คนเราชีวิตสั้นนัก อะไรดีๆที่อยากทำให้รีบทำ


RE: Another dust in the wind - Olanla - 22-11-2011

ผมรู้จักพี่น้ำมนต์ครับ พี่แกเคยมาช่วยรุ่นพวกผมทำ College Applications พี่แกเป็นคนที่น่ารักมาก ยิ้มแย้มและสนุกสนานอยู่เสมอ เวลาเครียดๆจากการทำ Applications พอมาคุยกับพี่น้ำมนต์ก็จะคลายเครียดไปได้เยอะ และพี่แกไม่เคยทำตัวเหมือนคนที่กำลังป่วยและไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นอะไรเลยซักครั้ง ช่วยเหลือน้องๆอย่างเต็มที่ตลอด 2 สัปดาห์กว่าๆที่อยู่ด้วยกัน เป็นคนที่จะอยู่ในใจผมตลอดไปครับ


RE: Another dust in the wind - napman - 22-11-2011

(22-11-2011, 01:01)Olanla Wrote: ผมรู้จักพี่น้ำมนต์ครับ พี่แกเคยมาช่วยรุ่นพวกผมทำ College Applications พี่แกเป็นคนที่น่ารักมาก ยิ้มแย้มและสนุกสนานอยู่เสมอ เวลาเครียดๆจากการทำ Applications พอมาคุยกับพี่น้ำมนต์ก็จะคลายเครียดไปได้เยอะ และพี่แกไม่เคยทำตัวเหมือนคนที่กำลังป่วยและไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นอะไรเลยซักครั้ง ช่วยเหลือน้องๆอย่างเต็มที่ตลอด 2 สัปดาห์กว่าๆที่อยู่ด้วยกัน เป็นคนที่จะอยู่ในใจผมตลอดไปครับ

Dear Pood and Pub,
It's really "A small world" isn't it??
And I agree that GOOD people will always stay in the selected corner of your heart. They will never really DIE from your memory.





RE: Another dust in the wind - thepguitar - 22-11-2011

เสียดายคนเก่ง แต่ยังไงเป็นตัวอย่างที่ดีของความอดทนให้คนรุ่นหลัง
ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตด้วยความอดทนไม่ถึงครึ่งของน้องเค้าเลย
คราวหน้าเจออุปสรรคจะคิดถึงน้องเค้าครับ
ตั้งชื่อกระทู้ได้ดีครับ อ่านจบและเห็นภาพของสัจธรรม


RE: Another dust in the wind - Naris - 22-11-2011

เสียดาย คนเก่งๆ ดีๆ มักอยู่ไม่นาน ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


RE: Another dust in the wind - karn - 22-11-2011

อ่านแล้วอึ้ง..ชื่นชม ดอกเตอร์มนัญยา และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ตันติวิวัฒน์ ด้วยครับ


RE: Another dust in the wind - Olanla - 22-11-2011

ตอนพี่น้ำมนต์เสีย ผมก็คิดว่าชีวิตก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน อะไรจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ คนที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวก็มีเยอะแยะ ถ้ามันจะเป็นเรา ก็คงไม่แปลกอะไร

แล้วผมก็ถามตัวเองว่า ถ้าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบพี่น้ำมนต์จะเป็นยังไง?

เมื่อรู้ว่าตัวเองมีโอกาสที่จะอยู่ได้ไม่นานแล้ว นอกจากเรื่องความตาย เรื่องครอบครัว และอื่นๆที่คนอื่นเค้าเครียดกัน
ผม(นักเรียนทุนรัฐบาลไทย)คงถามตัวเองว่า แล้วเรามาเรียนเมืองนอกเพื่ออะไร?
ใช้เงินภาษีประชาชนไปตั้งมากมาย แต่ไม่สามารถกลับไปทำประโยชน์ให้แผ่นดินได้
ที่สำคัญ ระยะเวลากว่า 10 ปีที่เราตั้งหน้าตั้งตาเรียนจน(จะ)จบปริญญาเอกนั้น เพื่ออะไร?
มีสิ่งอื่นๆอีกตั้งหลายอย่างที่สามารถทำได้และอยากจะทำในระยะเวลา 10 ปีนั้น
ครอบครัวก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วย ชีวิตก็เหนื่อยและชีเรียสใช่ย่อย

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งเราเลือกไม่ได้ และไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น
แต่มันก็คงอดคิดไม่ได้จริงๆว่าจริงๆแล้วคำตอบของคำถามเหล่านั้น และหนทางที่ควรเลือกเดินหลังจากนั้นคืออะไร
หลายๆคนก็คงพูดว่า ทำวันที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด แต่คำว่าดีที่สุดนั้นคืออะไร
ควรจะทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ประสบผลสำเร็จ ให้คนจดจำแบบพี่น้ำมนต์? หรือควรจะหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด?
จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคำตอบคืออะไร บางทีอาจจะต้องไปอยู่ในสถานะการณ์นั้นจริงๆ ถึงจะรู้คำตอบละมั้ง (แต่หวังว่าคงจะไม่ได้เจอสถานการณ์นั้นกับตัวนะครับ - -" )

แล้วน้าๆมีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ


RE: Another dust in the wind - thepguitar - 22-11-2011

(22-11-2011, 14:01)Olanla Wrote: ตอนพี่น้ำมนต์เสีย ผมก็คิดว่าชีวิตก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน อะไรจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ คนที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวก็มีเยอะแยะ ถ้ามันจะเป็นเรา ก็คงไม่แปลกอะไร

แล้วผมก็ถามตัวเองว่า ถ้าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบพี่น้ำมนต์จะเป็นยังไง?

เมื่อรู้ว่าตัวเองมีโอกาสที่จะอยู่ได้ไม่นานแล้ว นอกจากเรื่องความตาย เรื่องครอบครัว และอื่นๆที่คนอื่นเค้าเครียดกัน
ผม(นักเรียนทุนรัฐบาลไทย)คงถามตัวเองว่า แล้วเรามาเรียนเมืองนอกเพื่ออะไร?
ใช้เงินภาษีประชาชนไปตั้งมากมาย แต่ไม่สามารถกลับไปทำประโยชน์ให้แผ่นดินได้
ที่สำคัญ ระยะเวลากว่า 10 ปีที่เราตั้งหน้าตั้งตาเรียนจน(จะ)จบปริญญาเอกนั้น เพื่ออะไร?
มีสิ่งอื่นๆอีกตั้งหลายอย่างที่สามารถทำได้และอยากจะทำในระยะเวลา 10 ปีนั้น
ครอบครัวก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วย ชีวิตก็เหนื่อยและชีเรียสใช่ย่อย

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งเราเลือกไม่ได้ และไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น
แต่มันก็คงอดคิดไม่ได้จริงๆว่าจริงๆแล้วคำตอบของคำถามเหล่านั้น และหนทางที่ควรเลือกเดินหลังจากนั้นคืออะไร
หลายๆคนก็คงพูดว่า ทำวันที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด แต่คำว่าดีที่สุดนั้นคืออะไร
ควรจะทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ประสบผลสำเร็จ ให้คนจดจำแบบพี่น้ำมนต์? หรือควรจะหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด?
จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคำตอบคืออะไร บางทีอาจจะต้องไปอยู่ในสถานะการณ์นั้นจริงๆ ถึงจะรู้คำตอบละมั้ง (แต่หวังว่าคงจะไม่ได้เจอสถานการณ์นั้นกับตัวนะครับ - -" )

แล้วน้าๆมีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วมองโลกในแง่ดี
ลดหายใจสุดท้ายของเราก็น่าจะมีความสุขใจ(ผมเชื่ออย่างนั้นครับ)

ถ้าทุกคนมองโลกในแง่ร้าย สังคมจะเป็นยังไง

เค้าว่าปีหน้าโลกจะแตก ถ้าทุกคนมองในแง่ร้าย ทุกคนหยุดทำงาน
ชาวนาไม่ปลูกข้าว โรงไฟฟ้าไม่มีคนผลิตไฟฟ้า ทุกคนหยุดงานหมด
ผมว่าไม่ต้องรอถึงปีหน้า คงตายกันหมดก่อนโลกแตก

ผมเอาใจช่วยคุณ olanla วันหนึ่งชื่อคุณอาจถูกจดจำในขณะคุณยังมีลมหายใจอยู่ก็ได้ใครจะรู้