เสียบรูไหน อย่างไร ดีกว่ากัน

[pood]

ตามปกติถ้าใช้ passive pickup ถ้าสายแจ็คยาวเกินสองเมตรสัญญาณก็ดรอปแบบชัดเจนแล้วครับ สัญญาณที่ดรอปก่อนคือย่านความถี่สูงดังนั้นกีต้าร์ไฟฟ้าเลยใช้สายแจ็คยาวใด้กับ passive pickup เพราะสัญญาณกีต้าร์ไฟฟ้ามันไม่มี harmonic ความถี่สูง ต่อให้มีลำโพงมันก็ไม่รับเพราะแอมป์ไฟฟ้ามันไม่มี tweeter ครับ ส่วนกีต้าร์โปร่งสมัยนี้คงไม่มีใครใช้ passive pickup กันซักเท่าไหร่โดยไม่ต่อกับ preamp

ถ้าเป็น active pickup ที่ต้องใช้แบตสัญญาณก็จะถูกขยายก่อนจะเข้าไปที่สายแจ็ค คราวนี้ก็ใช้สายใด้ยาวขึ้นแต่ถ้าเกินสี่เมตรก็เริ่ม drop เหมือนกันคือเสียง harmonic เริ่มหายไปครับ

ปัญหาใหญ่ของการใช้ pickup แบบ high impedance ก็คือเมื่อเสียบสายแจ็คเข้าไปตัวขดลวดในสายมันก็จะรวมเป็นส่วนหนึ่งของวงจร ถ้าสายแจ็คห่วยเสียงกีต้าร์ก็ห่วยตามครับ เมื่อสามปีที่แล้วผมเคยแกล้งเอาสายแจ็ค Planet Wave ที่ห่วยแตกมาให้น้าป้อปปี้เสียบ Martin HD-28V แล้วเอาสาย Monster Acoustic เสียบ Taylor Big Baby เข้าตู้ PA ที่ร้าน Venice คืนนั้นน้าป้อปปี้นั่งปรับปรีของ Martin อยู่ตั้งนานแต่เสียงออกแอมป์ก็ยังสู้เสียง Big Baby ไม่ใด้ ยังจำใด้ไหมครับ

ใครที่เล่นกีต้าร์โปร่งเสียบแอมป์ควรให้ความสำคัญกับสายแจ็คด้วยนะครับ ถ้าเสียงเหมือนกันหมดสายเส้นละสามพันคงขายไม่ออกหรอกครับ

มีวิธีเดียวที่จะยกสายแจ็คออกไปจากวงจรคือการใช้ matching transformer เปลี่ยนสัญญาณจาก high เป็น low impedance ครับ ( สัญญาณจาก dynamic microphone เป็น low impedance อยู่แล้วนะครับ) สัญญาณ low impedance นี่กีต้าร์บางยี่ห้อก็มีตัวแปลงมาให้เลยและมี่ช่อง XLR output ให้เสียบที่ก้น Taylor ES preamp ก็ส่งสัญญาณเป็น balanced signal ครับแต่ต้องใช้แจ็ค 1/4" TRS(stereo) เสียบที่ก้นและใช้แจ้ค XLR เสียบที่แอมป์ ที่ตลกคือตัวแทนเมืองไทยไม่ยอมนำสายแจ็คตัวนี้เข้ามาขายครับ ใครจะใช้ก็ต้องต่อเองอย่างเดียวเลย (ใครอยากลองผมมีเหลือที่บ้านอยู่หนึ่งเส้นครับ เป็น Monster ซะด้วย)

ส่วนใครที่กีต้าร์ไม่มี balanced output แต่ต้องใช้สายยาวเกินห้าเมตรก็แก้ง่ายนิดเดียวครับคือต้องควักสตางค์ไปซื้อ direct box มาใช้