ดีแล้วครับที่ไม่ใด้ต่อ line out จากมิกเซอร์เข้ากล้อง video เพราะเครื่องดนตรีหลายอย่างไม่ใด้ต่อผ่าน mixer เช่นกลอง แอมป์เบส แอมป์ AER และแอมป์กีต้าร์ไฟฟ้า ดังนั้นสัญญาณจาก mix ที่ใด้คงมีแต่เสียงคนร้องและเสียงกีต้าร์โปร่งบางตัวเท่านั้น ความจริงแล้ววันนั้นก็มีคนเอาชุดไมค์กลองมาและแอมป์ทุกตัวก็มี line out แต่ผมไม่ใด้ใช้เพราะไม่อยากให้เสียงดังเกินไปจนกลายเป็นลานเบียร์ ส่วนตอนที่พวกเทพขึ้นไปแจมนั้นผมอยู่ในงาน Christmas party ในบ้านเลยไม่ใด้ออกมาดูแลแต่ใด้ยินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆเพราะไม่มีใครยอมใครเลยเปิดแอมป์แข่งกันแบบสุดๆ พี่สาวผมเองยังบอกเลยว่าเสียงเพลงเพราะทั้งดืนยกเว้นช่วงนั้นครับ
การปรับไมค์ต้องทำเป็นสองขั้นตอนครับ ขั้นแรกปิดปุ่ม gain ที่ mixer ก่อน กดปุ่ม PFL เพื่อดูความแรงของสัญญาณแล้วค่อยๆปรับ gain จนใด้ peak ประมาณ -10 dB ขั้นต่อมาคือการหันไมค์ไปหาลำโพงแล้วกวาดไมค์ไปมาระหว่างสองลำโพงขณะที่เพิ่ม master gain ขึ้นเรื่อยๆจนใด้ยินเสียงวืดๆ (ringing) พอใด้ยินชัดเจนก็มาตัดความถี่ที่เป็นตัวเริ่ม feed back โดยใช้ parametric eq ของช่องนั้น (ลองหมุนหาความถี่ดูว่าตรงไหนมันเริ่มหอนนะครับ) เสร็จแล้วก็ดัน master gain ขึ้นไปแล้วลองอีก พอเริ่มจะ ring นิดๆนั้นคือความดังสูงสุดของระบบ PA ในตำแหน่งลำโพงที่คุณตั้งไว้ครับ การทำแบบนี้เขาเรียกว่า ringing out ครับ ถ้าตั้งแล้วยังไม่ดังพอก็ต้องย้ายลำโพงมาหน้าเวทีแล้วใช้ stage monitor ช่วย
ไมค์ที่ใช้วันนั้นมีความไวต่างกันมหาศาลโดย KMS105 ไวกว่า Beta 87 อยู่ 10 dB และไวกว่า Beta 58 ถึง 20 dB แถม ringing frequency ก็ไม่เท่ากันซักตัว
พอมีคนมาสลับสายไมค์ผมเลยโวยวายไงครับ