NimitGuitar webboard

Full Version: ผู้นำทั้งหลายเชิญฟังทางนี้
You're currently viewing a stripped down version of our content. View the full version with proper formatting.
Pages: 1 2 3 4 5 6 7
ผมมีเจตนาที่จะให้อดีตทั้งหลายที่เกิดขึ้น
เป็นบทเรียนที่ควรระวังและจดจำเพื่อความเจริญรุ่งเรืองขององค์กร.....

จึงขอคัดลอกข้อความที่พี่สะใภ้ที่น่ารักของผมส่งต่อมาให้ผมอ่าน


จัดการผู้นำที่ "ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง" "มาร์แชล โกลด์สมิธ" กูรู Leadership

กมลวรรณ มักการุณ
เมื่อถึงวันที่ "ผู้บริหาร" นำพาองค์กรฝ่าฟันคลื่นมรสุมต่างๆ และผ่านพ้นมาจนบริษัทประสบความสำเร็จ...พวกเขาหลายคนกำลังดื่มด่ำกับความสำเร็จที่มาจากมันสมองของเขาล้วนๆ ใครๆ ก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาเก่ง ใครๆ ก็ยอมรับและเชื่อฟังคำสั่ง...

หากแต่ในความสำเร็จมี "อะไร" ที่มากกว่านั้น และวันนี้ "ดร.มาร์แชล โกลด์สมิธ" กูรูระดับโลกด้าน Leadership กำลังจะมาเปิดปมว่า เหตุใดผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมักมองข้ามและไม่สนใจที่จะ "เปลี่ยนแปลงตัวเอง"

"ดร.มาร์แชล โกลด์สมิธ" คือกูรูด้านการพัฒนาความเป็นผู้นำ (Leadership) ที่มีดีกรีถึงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 50 นักคิดระดับโลก และหนึ่งในนักปฏิบัติที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของการพัฒนาความเป็นผู้นำจากการจัดอันดับของนิตยสาร Business Week และหนึ่งใน 10 ของที่ปรึกษาระดับโลกจากการจัดอันดับของ Wall Street Journal

การเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้ นอกจาก "ดร.มาร์แชล" จะบรรยายในหัวข้อ " Coaching for Leadership: What Got You Here Won't Get You There" แล้ว นี่ยังเป็นการเดินทางมาเปิดตัวพอคเก็ตบุ๊คเล่มล่าสุดที่เขาเขียน " What Got You Here Won't Get You There" ซึ่งตอนนี้ติดอันดับหนังสือธุรกิจขายดีที่สุดในอเมริกาและเยอรมนีไปแล้ว

เขาได้เกริ่นถึงปัญหาที่เหล่าผู้นำหรือ Leader ต้องเผชิญเมื่อต้องขึ้นสู่จุด "สูงสุด" ในองค์กรว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากความสามารถหรือความเก่งของผู้นำ เพราะทุกคนยอมรับในความเก่งของเขาอยู่แล้ว หากแต่ "พฤติกรรม" ของพวกเขาต่างหากที่เป็นปัญหา

" ผู้นำที่ประสบความสำเร็จมักชอบเอาชนะมากเกินไป ไม่ชอบรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น พวกเขาคิดว่าตัวเองถูกอยู่ตลอดเวลา" เขายกตัวอย่างอุปนิสัยไม่ดี ที่ผู้นำหลายคนมักเป็นกันโดยไม่รู้ตัว และยังได้ยกตัวอย่างสิ่งที่กูรู "ปีเตอร์ ดรักเกอร์" ปรมาจารย์ของเขา ที่มักพร่ำสอนเขาอยู่เสมอว่า "เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสอนผู้นำว่าต้องทำอะไร แต่เราไม่ได้ใช้เวลาสักนิดสอนพวกเขาเลยว่าควรหยุดทำอะไรบ้าง"

ปัจจุบัน "ดร.มาร์แชล" นอกจากจะเป็นอาจารย์สอนทางด้านการศึกษาบริหารจัดการ ในอีกด้านหนึ่งที่สำคัญเขายังเป็นที่ปรึกษาชั้นยอดให้แก่ผู้นำองค์กรต่างๆ ในตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา เขายังป็นที่ปรึกษาให้กับผู้นำองค์กรชั้นนำในหลายอุตสาหกรรม ทั้งภาครัฐและเอกชน และบางแห่งก็เป็นถึงองค์กรระดับโลก เช่น ฟอร์ด มอเตอร์ , จีอี แคปปิตอล และโกลด์แมน แซคส์ เป็นต้น

ไม่น่าแปลกใจที่เขาพบว่า "ปัญหา" ในตัวผู้นำหลายต่อหลายองค์กร มีความคล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเชื่อ

"ผู้นำเหล่านี้บางคนมาขอให้ผมช่วยเป็นโค้ชในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พวกเขาหลายคนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย เก่ง ฉลาด เพอร์เฟคท์ และคิดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นภาพลวงตา ทำให้เขาก้าวไปไกลหรือประสบความสำเร็จมากไปกว่านี้ไม่ได้"

กับดักทางความคิดของผู้นำเหล่านี้ก็คือความเชื่อที่ว่า พวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว เป็นคนเลือกที่จะประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง สามารถประสบความสำเร็จได้ และ "จะต้อง" ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

"ผู้นำเหล่านี้จะเชื่อว่าจากความสำเร็จที่ผ่านมา จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมากขึ้นในอนาคต พวกเขาจะยอมรับเฉพาะความเห็นที่ตรงกับความรู้สึกของตนเอง และปฏิเสธความเห็นที่ไม่ตรงใจ พวกเขาจะไม่ยอมได้ยินในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากได้ยิน หลายครั้งที่พวกเขาชอบให้ลูกน้องประจบโดยที่ไม่รู้ตัว"

นอกจากนี้ ผู้นำส่วนใหญ่ยังยึดติดกับวิธีการและแนวทางที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ยอมรับว่าแนวทางนั้น อาจจะไม่ถูกต้องเท่าใดนัก และยังนำไปสู่ความ "หลงตัวเอง" โดยมีความเชื่อที่ผิดๆ ว่าตนเองสามารถสร้างความแตกต่างให้โลกนี้ได้

เหล่านี้ล้วนเป็น "สัญญาณอันตราย" ที่อาจย้อนกลับมาทำร้ายผู้นำคนนั้นเองในที่สุด

"ดร.มาร์แชล" แนะนำว่า สิ่งที่ผู้นำควรต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่ " เดี๋ยวนี้" ก็คือ การเปิดใจให้กว้าง และรับฟังความเห็นจากผู้ร่วมงาน หรือที่เรียกว่า Feedforward เพื่อนำมาปรับใช้ในอนาคต ไม่ใช่เพียง Feedback ที่เป็นผลจากอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว

เขาเล่าว่า จากผลการวิจัยจากผู้นำกว่า 86,000 ราย ใน 8 อุตสาหกรรมชั้นนำทั่วโลก พบว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้นำนั้น มีผลอย่างมากต่อการทำงานลูกน้อง หากลูกน้องเห็นว่าหัวหน้าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกเขาก็จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

" ผู้นำที่ดีต้องรู้จักปล่อยวางเรื่องราวในอดีต และรับฟังคำแนะนำจากคนรอบตัวโดยไม่ด่วนสรุปหรือตัดสินเอง" เขากล่าวและขยายความว่า "ในการจะช่วยให้ผู้นำพัฒนาตนเองได้นั้น ผู้นำต้องรู้จักถามความเห็นจากเพื่อนร่วมงานและลูกน้องที่ขึ้นตรงกับคุณ คุณเคยถามเขาหรือไม่ว่าคุณควรจะทำอย่างไรเพื่อจะได้เป็นหัวหน้าที่ดีขึ้นสำหรับพวกเขา

นอกจากนี้ การที่ผู้นำจะเปลี่ยนได้นั้น ผู้นำต้องรู้จักการรับฟัง เก็บมาคิด การตอบ การมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง และติดตามผลการเปลี่ยนแปลงด้วย ในชีวิตการเป็นที่ปรึกษาของผม หากลูกค้ามาปรึกษาแต่ไม่ได้มีความต้องการ หรือแสดงให้เห็นเลยว่าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผมก็จะไม่ทำอะไรเลย เพราะนั่นจะเป็นการเสียเวลามาก"

ดร.มาร์แชลเล่าถึงขั้นตอนในการเป็น "โค้ช" ให้กับผู้นำในการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมว่า ก่อนเริ่มต้นจะต้องมีการพูดคุยกันก่อนว่าพฤติกรรมใดบ้างที่ผู้นำคนนั้นอยากเปลี่ยน โดยต้องสอบถามจาก 360 องศารอบตัวผู้นำรายนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หุ้นส่วน คู่ค้าหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด

เมื่อตกลงได้แล้วว่าพฤติกรรมใดที่ควรเปลี่ยน เขาก็จะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ในการเข้าไปเป็นโค้ช ติวเข้มผู้นำรายนั้น และมีการพูดคุยสอบถามปฏิกิริยาจากคนรอบข้างอย่างใกล้ชิดว่าพวกเขารู้สึกได้หรือเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหรือไม่

"หากทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเขาเปลี่ยนไปจริงๆ ผมถึงจะได้ค่าตัว ซึ่งค่าตัวผมก็อยู่ที่ 250,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9 ล้านบาท) จัดว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับเวลา 18 เดือนที่ผมต้องเข้าไปทำให้ผู้นำคนนั้นเปลี่ยนพฤติกรรม บางบริษัทก็ยินดีที่จะจ่ายหากสามารถทำให้ผู้นำของเขาเปลี่ยนได้จริงๆ แต่หากทุกคนเห็นว่าผู้นำไม่ได้เปลี่ยนเลย ผมก็จะไม่รับค่าตัวสักนิดเดียว" เขากล่าวถึงการเป็นที่ปรึกษา

ก็เป็นที่น่าพอใจสำหรับเขา... 90% พบว่า ผู้นำของเขาได้ "เปลี่ยนไปแล้ว" จริงๆ

เขายังเล่าอีกว่า จากการที่เขาเคยทำการสำรวจรวมกับจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โดยสำรวจผู้นำที่ประสบความสำเร็จกว่า 2,000 รายทั่วโลก รวมทั้งแถบเอเชียและประเทศไทยด้วย ซึ่งศึกษาในเรื่องของลักษณะการเป็นผู้นำในวัฒนธรรมต่างๆ ( Cross-cultural leader) เขาพบว่าแม้ส่วนใหญ่อุปนิสัยของผู้นำทั่วโลกจะมีความใกล้เคียงกัน แต่ก็พบว่าผู้นำจากเอเชียมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ดีกว่าผู้นำจากยุโรปหรืออเมริกา เพราะมีวัฒนธรรมที่ไม่แข็งกร้าว และมีการรับฟังความคิดเห็นมากกว่า

"นอกจากนี้ ผู้นำที่เป็นผู้หญิงก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนตัวเองได้ดีกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงจะมีความอยากเอาใจทุกๆ คน อยากเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆ คน อยากเป็นเจ้านายที่ดีที่สุด ภรรยาที่ดีที่สุด และแม่ที่ดีที่สุด ทำให้ผู้ชายสู้ผู้หญิงไม่ได้ในเรื่องนี้"

การเดินทางมาบรรยายในครั้งนี้ เขาบอกว่า ผู้นำ ผู้บริหารไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือแม้แต่เอสเอ็มอี รวมถึงพนักงานบริษัท ตลอดจนคนที่สนใจทั่วไป ล้วนสามารถนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้

เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้การทำงานดีขึ้นเท่านั้น แต่ "การใช้ชีวิต" จะดีขึ้นด้วยเช่นกัน

"ในการทำธุรกิจ คุณตอบคำถามได้ทันทีว่า ความพึงพอใจของลูกค้าสำคัญที่สุดหรือไม่ แต่ในชีวิตครอบครัว เมื่อเจอคำถามว่า ความพึงพอใจของภรรยา ลูก หรือคนในครอบครัว (ที่เป็นยิ่งกว่าลูกค้าของคุณ) นั้นสำคัญที่สุดหรือไม่ คุณกลับตอบไม่ได้ หรือลังเลที่จะตอบคำถามนี้ หรือในชีวิตของคุณ คุณเคยถามคนรอบตัวไหมว่าคุณจะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อจะเป็นหัวหน้าที่ดีขึ้น หรือเป็นพ่อแม่ เป็นสามีที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่มีน้อยมากที่จะถาม

แต่ผมอยากให้คุณนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับชีวิตครอบครัวของคุณด้วย แล้วคุณจะพบว่าชีวิตคุณดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ" เขาทิ้งท้าย

Key Points

20 นิสัย "แย่ๆ" ของผู้นำ

1. เอาชนะมากเกินไป พยายามจะเอาชนะทุกๆ คนในทุกๆ เรื่อง

2. ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

3. ชอบเอาความรู้สึกส่วนตัวตัดสินคนอื่น

4. ให้ความเห็นที่ไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย

5. ชอบเริ่มต้นประโยคว่า "ไม่", "แต่"

6. ชอบบอกให้ทั้งโลกรู้ว่าคุณเก่งแค่ไหน

7. แสดงอารมณ์โกรธออกมา

8. ชอบสอนหรืออธิบายพร่ำเพรื่อโดยที่ลูกน้องยังไม่ได้ถาม

9. หวงวิชา

10. ไม่ชมหรือให้รางวัลเมื่อลูกน้องสมควรได้รับ

11. ชอบคุยโอ่ถึงความดีความชอบของตัวเอง

12. ชอบแก้ตัว

13. ชอบกล่าวโทษคนอื่นในเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว

14. เลือกที่รักมักที่ชัง ลำเอียง

15. ไม่แสดงความรู้สึกสงสารหรือเห็นใจ

16. ไม่รับฟัง

17. ไม่สำนึกบุญคุณ

18. ลงโทษได้แม้กระทั่งพนักงานรับส่งเอกสาร

19. ชอบปัดความผิดให้พ้นตัว

20. หลงตัวเองเป็นที่สุด
ในหน้าที่การงาน ผมยังไม่ได้เป็นผู้นำหรือหัวหน้าใครเลยครับ แต่จะจดจำ "ความแย่" ของพฤติกรรมต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้

เผื่อวันหน้าผมมีโอกาสเป็นผู้นำซะเอง จะได้ไม่พลาดพลั้ง....

ขอบคุณครับSmile
20 ข้อเสียที่น้าป๋อส่งมาให้พวกเราได้อ่านมีประโยชน์ในการใช้ในการปรับปรุงตัวมากครับ
เพราะผมเชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยเป็นผู้นำ
ถ้ากำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้น่าจะเป็นผู้นำที่น่ารัก และผู้ใต้ความปกครองของเราจะรักเรามากที่สุด

ผมจำพระราชดำรัสของในหลวงข้อหนึ่งและพยายามไม่ละเมิดคือ
"อย่าทำลายความฝันของผู้อื่น เพราะนั้นอาจเป็นความฝันอันสุดท้ายของเขาผู้นั้น"
ผมอ่านแล้ว สะท้อนถึง ผู้นำที่เป็นนักการเมืองในบ้านเรา ได้เป็นอย่างดี....

ในข้อที่

1, 3, 6, 7, 14, 16, 17, 19, 20

ส่วนข้อที่ 21

เกิดผิดที่ครับ!!!
เห็นน้าสั่นตอบกระทู้...ก่อนคลิกเข้ามาอ่านเดาไว้แล้ว.....ถ้าซื้อหวยคงถูกชุดใหญ่ 60 ล้าน
pOoH Wrote:เห็นน้าสั่นตอบกระทู้...ก่อนคลิกเข้ามาอ่านเดาไว้แล้ว.....ถ้าซื้อหวยคงถูกชุดใหญ่ 60 ล้าน


เดี๊ย เดี๊ย เดี๊ย เถอะ.....

นี่ถ้า ไม่ ติดว่าเป็น อธิการไม่ดี ไปแล้ว

ผมจะดึง มาเกลือกกลิ้ง ขีวิต กับ พวกผมซะให้เข็ด!!!!!!!!!!
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของคนเรา
คือ การยอมรับตัวเอง..

โดยเฉพาะเรื่องแย่ ๆ..

หลายคนรู้และเข้าใจในข้อผิดพลาดของตน
แต่ก็ละเลยที่จะแก้ไข..
และก็พยายามมองผ่านไปเสียเฉย ๆ..

บางคนกลัวที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น..
แต่บางคนกลับกลัวที่จะต้องรื้อฟื้นข้อผิดพลาดของตัวเอง เพื่อแก้ไข..

แต่สิ่งเหล่านี้.. ถ้าเราก้าวข้ามไปได้.. แม้เพียงสักก้าวเดียว..
ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปทันที..


ขอบคุณพี่ป๋อมากครับ.. สำหรับข้อคิดดี ๆ
และก็ต้องขอบคุณ ดร.มาร์แชล โกลด์สมิธ.. ด้วย..
ถ้าหากจะสามารถเปลี่ยนแปลงผู้นำได้บ้าง..

ก็เพราะผู้นำหนึ่งคน..
มีผลกระทบกับคนจำนวนเท่าไรล่ะครับ..
วันนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องมีสาระเลยนะครับ ผมเห็นด้วยกับคำแนะนำของเขาแต่ก็อยากให้เรามองต่างมุมด้วย

มุมมองของ Dr. Goldsmith ก็เป็นมุมมองของคนยิวซึ่งเติบโตมาในวัฒนธรรมที่แตกต่างกับคนไทย แน่นอนครับ
ว่าคนยิวเก่งกว่าคนไทยเยอะเพราะจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคนไทยที่ใด้รางวัลโนเบล ถ้าเราอยากเก่งอย่างเขาก็คงต้อง
ฟังเขาแต่มีปัญหาอยู่ว่าเราฟังแล้วเราทำใด้หรือเปล่า

ที่บ้านเมืองมันยุ่งเหยิงอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะคนไทยบางคนลืมรากเหง้าของตนเองก็เลยไปทำตัวอย่างฝรั่งที่ไม่รู้จักคำว่า
"พอ" เรารับวัฒนธรรมเขามามากจนคนไทยในระดับผู้นำหลงลืมหลักการของ " เศรษฐกิจพอเพียง" กันหมดแล้ว

นิสัยแย่ฯของผู้นำที่ Dr. Goldsmith แนะนำให้แก้ผมว่าบางข้อแก้ยากนะถ้าคุณอายุเกินหกขวบเพราะตอนคุณเป็นผู้ใหญ่มัน
ก็กลายเป็นสันดานไปแล้ว ถ้าลูกน้องผมคนใหนมีนิสัยแบบนี้ผมไม่ปล่อยให้ขึ้นมาเป็นผู้นำหรอก

ผมสงสัยอยู่ข้อเดียวครับคือข้อ 18 ว่าทำไมผมถึงไม่ควรลงโทษพนักงานส่งเอกสารถ้าพนักงานคนนั้นยักยอกเงินของบริษัท
ผมเพิ่งเอาเข้าตะรางไปคนหนึ่งเมื่อเร็วฯนี้ เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเป็นผู้นำที่เฮงซวยวันนี้เอง
มันเป็น กิเลส น่ะครับ Smile
รัก โลภ โกรธ หลง พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้เสมอและทุกเวลา...ในคน



ตอนนี้เป็นขี้ข้าต่างชาติอยู่ ทำจาย แต่ที่บ้าน!!! หึ ๆ ๆ อย่าให้พูด....

ซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าว ล้างส้วม ผมเป็นผู้นำอยู่คนเดียว คนอื่นมือไม่ถึงหรอก
ผมมีเรื่องประหลาด แต่น่าคิด เกี่ยวกับความยุ่งเหยิงที่อีรุงตุงนังอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยเรา...

เราบอกส่วนสูงของร่างกายเป็นเซ็นติเมตร...แต่บอกรอบเอวเป็นนิ้ว!
เราบอกมิติของที่ดินเป็นตารางวา-ไร่...แต่เราซื้อขายบ้านหรือคอนโดฯ เป็นตารางเมตร!
เราเคยวัดความยาวของผ้าเป็นหลา...แต่เดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนมาใช้เป็นเมตร!
เรามีป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างกันเฉลี่ยไม่เกินสี่ร้อยเมตร...แต่ไม่มีรถเมล์คันไหนวิ่งต่ำกว่าหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
เรามีรถแท็กซี่สารพัดสีมากที่สุดในโลก...แต่มีเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่ที่แท้จริงเพียงไม่กี่ร้อยคน
เรามีการจดทะเบียนรถแท็กซี่ทุกวัน วันละประมาณห้าร้อยคัน...แต่มีรถแท็กซี่เพียงไม่คันที่มีผู้โดยสาร
เรามี รถเมล์ รถร่วมฯ รถเมล์เขียว รถเมล์ตู้ รถจักรยานยนต์สาธารณะ มากที่สุดในโลก...แต่เรามีปัญหากับระบบขนส่งมวลชน
เรามี ฯลฯ...แต่เราก็ ฯลฯ

แปลกดีไหมครับ...
Pages: 1 2 3 4 5 6 7